ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com

"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Blognone
Bookmark and Share

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ส.ว.มณเฑียร ชี้ รัฐบาลแก้ปัญหาค้าสลากเกินราคาไม่ตรงจุด

 

 

 

 

ส.ว.มณเฑียร ชี้ รัฐบาลแก้ปัญหาค้าสลากเกินราคาไม่ตรงจุด

29 มิ.ย. 52             ส.ว.มณเฑียร  บุญตัน ชี้ รัฐบาลแก้ปัญหาค้าสลากเกินราคาด้วยการขายหวยออนไลน์เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดตามมา

                นายมณเฑียร  บุญตัน ส.ว.ระบบสรรหา กล่าวถึงแนวคิดของรัฐบาลในการนำหวยออนไลน์มาใช้เพื่อควบคุมราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะหวยออนไลน์เปรียบเหมือนกับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดีกว่าสามารถขายสินค้าได้ในราคาต้นทุนหรือต่ำกว่าต้นทุน การขายหวยออนไลน์จึงทำให้ผู้พิการซึ่งเป็นผู้ค้าสลากรายย่อยเสียโอกาสในการแข่งขัน

                ส.ว.มณเฑียร กล่าวด้วยว่า การขายหวยออนไลน์ไม่สามารถดำเนินการบนพื้นฐานของกฎหมายฉบับปัจจุบันได้ เพราะการที่นำเอาเทคโนโลยีใหม่มาทดแทนของเก่าที่มีอยู่เพียงเพื่อที่จะทำให้รัฐมีรายได้นั้นไม่เป็นผล แต่จะทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                อัญชิสา  จ่าภา      ผู้สื่อข่าว

                                                                                                                มันทนา  ศรีเพ็ญประภา        เรียบเรียง

 



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




What can you do with the new Windows Live? Find out

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เปิดโลกกว้างบนทางมืด 'พจนานุกรมเสียง'

วันพฤหัสบดี ที่ 25 มิถุนายน 2552 เวลา 0:00 น

 

สิ่งดี 'เพื่อคนตาบอด'

"หนังสือเสียงเพื่อคนตาบอดนั้นมีมาก แต่ที่เป็นพจนานุกรมไม่มีเลย" ...นี่เป็นการระบุของ นิรมล เปี่ยมอุดมสุข ประธานชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอด และจุดนี้ก็นำไปสู่การเกิดอีกหนึ่งโครงการที่ดี...
   
นั่นก็คือ...โครงการ "พจนานุกรมเสียง"
   
อีกหนึ่งโครงการดี ๆ "เพื่อคนตาบอด"
   
ทั้งนี้ "หนังสือเสียงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542" คือชื่อชัด ๆ ของโครงการนี้ซึ่งประธานชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอด บอกว่า... โครงการนี้เกิดขึ้นมา 2 ปีแล้ว โดยเป็นแนวความคิดของกลุ่มอาสาที่ทำเพื่อคนตาบอด เพราะที่ผ่านมาคนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีเปิดพจนานุกรมให้ ซึ่งก็ได้มีการประชุมกับนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2550 ตกลงกันว่าจะเป็นโครงการร่วมของมูลนิธิคนตาบอดไทย กับชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอด และต่อมาก็มีการอบรม มีการจัดแบ่งหน้าพจนานุกรม โดยแบ่งเป็น 70 หน่วย หน่วยละประมาณ 20 หน้า เพื่อแจกให้ช่วยกันอ่าน
   
สำหรับลำดับความคืบหน้าการผลิตหนังสือเสียงพจนานุกรมนี้ ก็เช่น มีการปรับปรุงหลักการอ่านพจนานุกรม ซึ่งเพิ่มวิธีอ่านศัพท์วิทยาศาสตร์ (อ่านออกเสียงคำภาษาละติน) เพิ่มตารางชื่อย่อศัพท์พฤกษศาสตร์ รายชื่อผู้ค้นพบที่ให้ไว้เป็นตัวย่อในชื่อพืชควรอ่านชื่อเต็มเวลาออกเสียง มีการทำตัวอย่างการอ่าน โดยช่วงแรก ๆ จะเป็นการหาวิธีอ่านที่เหมาะสม มีการประชุมกับคณะผู้บริหารราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง และมีการแก้หลักการอ่านเล็กน้อย จนล่าสุดได้หลักการอ่านสคริปต์สำหรับการอ่านพจนานุกรมที่พร้อมใช้
   
"ทางราชบัณทิตยสถานได้อนุมัติลิขสิทธิ์พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 มาให้ พร้อมไฟล์คอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนแรกจะมอบเงินมาผลิตให้จำนวนหนึ่งด้วย แต่ปรากฏว่าติดขัดทางราชการเลยไม่ได้ ประกอบกับ 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งโครงการก็เกือบจะพับไป แต่ด้วยความตั้งใจของพวกเราจึงพยายามผลักดันโครงการนี้ต่อไป" ...นิรมลกล่าว
   
และแจกแจงต่อไปว่า... พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นั้น มีกว่า 1,400 หน้า ซึ่งมีการอ่านเป็นเสียงไปแล้วกว่า 50% และมีอาสาสมัครเข้าคิวคอยอ่านอยู่ โดยที่สคริปต์สำหรับอ่านพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สคริปต์ที่ทำไว้เป็นสคริปต์ที่ใช้โปรแกรมอ่านพจนานุกรมแล้วขยายความขึ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งสคริปต์ถูกแบ่งเป็น 70 แฟ้ม เท่ากับหน่วยการอ่าน

นิรมลอธิบายว่า... 1. สคริปต์ แบ่งเป็น 3 คอลัมน์ คอลัมน์แรกคือคำต้น คอลัมน์ที่สองคือคำอธิบายความหมาย คอลัมน์ที่สามคือต้นฉบับจากพจนานุกรม ให้อ่านคอลัมน์ที่ 1 และ 2 ส่วนคอลัมน์สุดท้ายมีไว้อ้างอิง
   
2.ตัวภาษาอังกฤษทั้งหมด ไม่ต้องอ่านออกเสียง ให้สะกดตัว   เฉย ๆ จะมีคนมาอ่านออกเสียงให้ทีหลัง ดังนั้นถ้าพบศัพท์วิทยาศาสตร์     ให้บอกว่า เขียนว่า แล้วสะกดตัวไปเลย เช่น "ชื่อไม้ล้มลุกในวงศ์ Cyperaceae" ให้อ่านว่า "ชื่อไม้ล้มลุกในวงศ์ เขียนว่า ซี-วาย-พี-อี-   อาร์-เอ-ซี-อี-เอ-อี" ถ้าเป็นภาษาที่มาจากภาษาอังกฤษหรือภาษาละติน เช่น "(อ. glucose)" ก็ให้อ่านว่า "ในวงเล็บ มาจากภาษาอังกฤษ เขียนว่า จี-แอล-ยู-ซี-โอ-เอส-อี"
   
3.ถ้าสคริปต์มีดอกจัน 4 ตัว **** แปลว่า โปรแกรมสับสนอ่านต้นฉบับไม่ได้ ผู้อ่านต้องทำสคริปต์ใหม่เอง 4.บางทีโปรแกรมก็พลาด อ่านต้นฉบับไม่ถูกต้อง หากผิดสังเกตให้ตรวจสอบกับต้นฉบับ และแก้ไข 5.ให้อ่านตามมาตรฐานการอ่านหนังสือเสียงให้คนตาบอด คือถ้าเจอวงเล็บ ก็อย่าลืมบอกว่า "ในวงเล็บ" เป็นต้น
   
แน่นอน...กับคนทั่วไปยังไงก็คงงง-ไม่คุ้นกับที่ยกตัวอย่าง
   
แต่สรุปก็คือ...นี่ถือเป็นนิมิตหมายใหม่สำหรับคนตาบอด
   
ประธานชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอด ระบุว่า... หนังสือเสียงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นี้จะเป็นนิมิตหมาย   ที่ดีสำหรับวงการการศึกษาเพื่อผู้พิการทางสายตาแน่นอน เพราะจะเป็น    ประโยชน์มากจริง ๆ ด้วยระบบการผลิตที่ทันสมัย สะดวกสบายต่อผู้ต้องใช้ทุกกลุ่ม
   
"เท่าที่ทราบ ขณะนี้ในเอเชียมีเพียงญี่ปุ่นที่ผลิตหนังสือเสียงพจนานุกรมได้ ส่วนประเทศในแถบตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าหนังสือเสียงพจนานุกรมนี้สำเร็จ ไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่ทำได้"
   
พร้อมกันนี้ ประธานชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอดยังฝากถึงประชาชนคนไทยทั่วไปว่า... การผลิตพจนานุกรมเสียงฉบับราชบัณฑิตย สถาน พ.ศ. 2542 นี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงที่เทคนิคการผลิตด้วยระบบเดซี่ ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ทางมูลนิธิคนตาบอดไทย ชมรมอาสาสมัครเพื่อนคนตาบอด ก็ยังขาดแคลนอยู่
   
"หากท่านใดต้องการมีส่วนร่วมบริจาคทุนทรัพย์ผลิตหนังสือเสียงพจนานุกรม รวมถึงสนใจสมัครเป็นอาสาสมัครอ่านหนังสือเสียง ติดต่อได้ที่ห้องสมุดคนตาบอด หมายเลขโทรศัพท์ 0-2248-0555" ...นิรมลระบุ
   
ทั้งนี้ ในขณะที่พจนานุกรมธรรมดาช่วยเปิดโลกกว้างทางปัญญาให้กับผู้คนปกติทั่วไป "พจนานุกรมเสียง" ก็ช่วยเปิดโลกกว้างทางปัญญาให้กับผู้ที่สายตามิอาจจะมองเห็นโลก นี่จึงถือเป็นสิ่งที่ "มีคุณค่า" ...
   
เป็นสิ่งที่น่าจะช่วยกันสนับสนุนให้ทำได้สำเร็จลุล่วง
   
มิใช่แค่เพื่อที่ไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มี
   
ที่สำคัญคือ "เพื่อคนตาบอด" ที่ก็เป็นชีวิตที่มีค่า !!.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=4991&categoryID=23

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

“แลกชีวิต-รู้ความพิการ”สร้างสังคมมิติใหม่



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552


พลันที่เสียงหัวเราะปนความรู้สึกตื่นเต้นจากประสบการณ์ใหม่ๆได้เริ่มขึ้น ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานอารมณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปคนละขั้ว

 

"ที่ว่าตื่นเต้น สนุกสนานในตอนแรก ไปๆมาๆชักจะไม่แล้ว พอได้ลองเรารู้ก็เลยรู้ว่ามันลำบากมาก กะอีแค่ร่องน้ำเล็กๆยังบังคับรถเข็นให้ข้ามไปไม่ได้" 'ดอย' สักก์สีห์ พลสันติกุล อดีตประธานชมรมเพื่อนผู้พิการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บัณฑิตจากคณะวิจิตรศิลป์ เล่าถึงกิจกรรมจำลองความพิการ หนึ่งในโครงการ 'ค่ายพิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน' ที่ทางเครือข่ายพุทธิกาจัดขึ้น

 

นอกจากการปิดตา ผูกขา ปล่อยผู้ร่วมกิจกรรมเข็นรถวีลแชร์ซื้อของในตลาดตามกติกาแล้ว การมีพี่เลี้ยงผู้พิการพูดคุยตลอดเวลาที่ถูกปิดตา ยิ่งทำให้รู้ถึงหัวอกของผู้พิการมากขึ้น

"มันทำให้รู้เลยว่าสังคมเราไมได้ออกแบบอะไรให้แก่กลุ่มคนพิการ"เขาบอกและอธิบายว่านี่จึงเป็นที่มาของกิจกรรมที่เขาได้เริ่มขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีเพื่อนๆต่างคณะ และกลุ่มผู้พิการในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมด้วยอย่างคับคั่ง อบอุ่น เป็นกันเอ"โครงการค่ายเพื่อนผู้พิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกันคือการละลายกำแพงความไม่เข้าใจเรื่องความพิการ

 

นำไปสู่การเปลี่ยนทัศนคติ ด้วยกระบวนการที่หลากหลายให้ได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนกัน ทั้งด้านศิลปะ กฎหมาย การจำลองสถานการณ์ความพิการ ฝึกดูแลผู้พิการ กิจกรรมสันทนาการ การล้อมวงสนทนา" ดอยให้นิยาม

แม้จะล่วงเลยมาพอสมควรแต่เขายังจำความรู้สึกและสายตาที่คนทั่วไปมองมาได้เป็นอย่างดี
ดอยบอกว่า ขณะที่จำลองเป็นคนพิการนั้น แต่ละสายตาที่มองมาจากบนแผงขายของ เป็นสายตาของความสงสาร แม่ค้าบางคนถึงขนาดจะไม่รับเงิน เช่นเดียวกับแม่ค้าบางรายที่ตัดพ้อโชคชะตาแทนด้วยว่า "ยังหนุ่มอยู่ ไม่น่าพิการเลย" ดังนั้นสิ่งสำคัญของค่ายฯคือการทลายมุมมองผิดๆที่มีต่อคนพิการทิ้ง   
ในห้วงเวลาที่สังคมจัดกลุ่มคนพิการให้เป็นเพียงผู้รับการ'เอื้อเฟื้อ' ไม่ต่างจากคนชราและเด็ก นาวาอากาศโทภราดร คุ้มทรัพย์ หัวหน้าสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบิน4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หนึ่งในวิทยากรผู้ร่วมอบรม และเป็นหนึ่งในผู้พิการทางร่างกาย มองสถานการณ์เช่นนี้ว่า เป็นอุปสรรคที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก ทั้งยังขวางกั้นทัศนคติที่สังคมควรจะมีต่อคนพิการเป็นอย่างยิ่ง
"อย่ามองคนพิการเพียงเพื่อสงสาร แต่เราต้องปลูกฝังให้เยาวชนมองไปถึงปัญหาที่ลึกลงกว่านั้น ทำอย่างไรให้สังคมเข้าใจถึงหลักการออกแบบสังคมเพื่อคนทั้งมวลในทุกๆเรื่อง" ผู้พันภราดรสะท้อนปัญหา
เขา อธิบายต่อว่า การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล มิได้หมายถึงเพียงการออกแบบในเชิงศิลปะ อาคาร บ้านเรือนให้เหมาะสมกับคนทุกกลุ่มอันรวมถึงกลุ่มคนพิการด้วยเท่านั้น แต่เป็นการสร้างสังคมให้เข้าใจคนพิการจริงๆ นำไปสู่การสร้างกระบวนการอื่นๆที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้มีที่ยืนอยู่ในสังคมเฉกเช่นคนปกติ
"ค่ายฯนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างกระบวนการเหล่านั้น ยกตัวอย่างว่าเยาวชนที่มาเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ มีความสามารถและถนัดในการเรียนต่างกัน หากหลังจากที่ผ่านกิจกรรม เขาได้เปลี่ยนทัศนคติ เมื่ออกไปทำงานจะสามารถนำไปประยุกต์กับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เช่น คนที่เรียน สถาปัตย์ฯ ต่อไปเขาจะรู้จักการออกแบบที่เอื้อต่อคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เน้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว เขาจะรู้ว่าการออกแบบให้มีทางลาดสำหรับใช้เข็นรถวีลแชร์ขึ้นอาคารนั้นมันสำคัญไม่แพ้ความสวยงามของขั้นบันได คนเรียนหมอก็จะไม่ใช่เพียงแค่การรักษาให้หายจากโรคเท่านั้น แต่จะเข้าใจถึงการส่งต่อคนไข้คืนชุมชน ที่สำคัญยิ่งกว่าเพราะเป็นสถานที่ที่คนไข้ต้องอยู่ไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับการประยุกต์ในด้านอื่นเช่นสื่อ กฎหมาย ฯลฯที่ต้องเอื้อให้แก่คนทุกกลุ่ม"น.ท.ภราดรขยายความ
หรืออย่างที่'เต๋า'บุญฑริก นิยติวัฒน์ชาญชัย นักศึกษาชั้นปีที่5 คณะทันตแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ หนึ่งในผู้ร่วมค่ายฯ ที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหลังผ่านกิจกรรมว่า มีมุมมองต่อคนพิการที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เขายกตัวอย่างง่ายๆ ว่า จากที่เคยรู้สึกเกร็งกับคนไข้ที่พิการ ไม่กล้าทำงานได้อย่างเต็มที่ กลัวทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ถึงเวลานี้ความรู้สึกดังกล่าวหายไปอย่าสินเชิง
"คนพิการก็เหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย เขาทำได้ เหมือนคนทั่วไป แต่สังคมต้องให้โอกาสพิสูจน์" ว่าที่หมอฟันหนุ่มเล่าถึงผลผลิตที่จับต้องได้ในตัวเอง 
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี กรรมการบริหารแผน(คณะ6) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ผู้สนับสนุนโครงการกล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า หากเชื่อมโยง'คนพิการ' กับ'คนปกติ ได้อย่างเข้าใจจริงๆ กิจกรรมนี้มาถูกทางแล้ว จากนี้ไปทุกคนในสังคมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทัศนคติของเราที่มีต่อคนกลุ่มต่างๆที่อยู่ร่วมกันเหมาะสมหรือไม่ 
"นอกจากกิจกรรมจำลองสถานการณ์ความพิการ ค่ายฯ ยังบรรจุไปด้วยหลายรูปแบบของการเรียนรู้ อาทิ กิจกรรมการศึกษาชีวิต เรียนรู้สุขภาพองค์รวมเพื่อปรับทัศนคติให้รู้ว่าการมีสุขภาพดีไม่ได้จำกัดอยู่ที่ร่างกายเพียงอย่างเดียว กิจกรรมการรับรู้ความเป็นมนุษย์และคุณค่าของการดำเนินชีวิต โดยเน้นให้ผู้ร่วมรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจของมนุษย์ที่มีค่าสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด"เขาบอกถึงรายละเอียดประเด็นสำคัญที่จะสื่อสารในค่ายฯนี้และกิจกรรมอื่นๆอีกต่อไป 
"หนทางยังอีกไกล จุดนี้เสมือนเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น กิจกรรมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองให้เหมาะสมในเรื่องต่างๆ จำเป็นจะต้องมีต่อ"รศ.นพ.กำจร ยืนยัน

ส่วน'ดอย'สรุปบทเรียนที่ได้รับจากค่ายนี้ว่า อย่างน้อยที่สุดความคิดเรื่องการสนับสนุนสงเคราะห์คนพิการของเขาได้หมดไป ซึ่งหากสังคมคิดได้เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่มีคนพิการที่เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป คงเหลือแต่ผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ที่มีอิสระในการดำรงชีวิต สามารถแสดงศักยภาพในเรื่องต่างๆเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพราะแท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่เคยมีคนพิการจริงๆเลยสักคน
 
http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=54479




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กมธ. พัฒนาสังคมฯ ติงรัฐสร้างบริการสาธารณะไม่เอื้อต่อผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 

 

 

 

กมธ. พัฒนาสังคมฯ ติงรัฐสร้างบริการสาธารณะไม่เอื้อต่อผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส

26 มิ.ย. 52 -             คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรียกร้องรัฐบาลเห็นความสำคัญของ สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ด้วยการทำโครงการบริการสาธารณะให้อำนวยความสะดวกต่อคนทุกกลุ่ม

นายมณเฑียร  บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา กล่าวถึงโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ที่เกี่ยวกับ สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุและผู้พิการ ว่า ช่วงที่ผ่านมามีหลายโครงการที่ไม่อำนวยความสะดวกต่อคนพิการ อาทิ โครงการรถด่วนสาธารณะพิเศษ (รถบีอาร์ที) ซึ่งมีสถานีรวมกว่า 10 สถานีแต่กลับมีเพียง 2 สถานีเท่านั้นที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ หรือโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติถนนแจ้งวัฒนะก็มีการแก้ไขโครงสร้างให้อำนวยความสะดวกต่อผู้พิการภายหลังการทักท้วงของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งทำให้สูญเสียงบประมาณในการแก้ไขมากกว่าที่จะสร้างให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับในการอำนวยความสะดวกต่อเด็ก สตรี ผู้สูงอายุและคนพิการ ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินทุกโครงการเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติด้วย

ลักขณา  เทียกทอง / ผู้สื่อข่าว

เกรียงไกร  หอมจันทร์เทศ / เรียบเรียง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




See all the ways you can stay connected to friends and family

สาวอ้วนที่สุดในอังกฤษ ลดน้ำหนักได้แล้ว



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11431 มติชนรายวัน


สาวอ้วนที่สุดในอังกฤษ ลดน้ำหนักได้แล้ว


คอลัมน์ สรรหามาเล่า

โดย raikorn@hotmail.com






จอร์เจีย เดวิส สาวอังกฤษวัย 16 ที่เคยได้ชื่อเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่อ้วนที่สุดในอังกฤษ ลดน้ำหนักยกแรกได้สำเร็จแล้วจ้า...

จากที่ทั่วไป ใครที่สูญเสียตำแหน่งมักจะเศร้าโศก เสียใจ แต่จอร์เจียยิ้มร่า และบอกอย่างมีความสุขว่า "หนูชอบตัวเองตอนนี้มาก... หนูชอบหน้าตา ชอบรูปร่างของตัวเอง ตอนนี้โลกดูเหมือนหอยมุกสวยงามสำหรับหนู และหนูก็รู้สึกมั่นใจว่า นับแต่นี้หนูสามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น"

ไม่น่าแปลกใจ ที่สาวน้อยชาวเซาธ์ เวลส์ จะรู้สึกเช่นนั้น เพราะการลดน้ำหนักอันหนักอึ้งของเธอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นภารกิจที่ทำให้จอร์เจียต้องเดินทางไปเก็บตัว เข้าค่ายลดน้ำหนักถึงที่สหรัฐอเมริกา อยู่นานถึง 9 เดือน และเพิ่งได้เดินทางกลับไปเยี่ยมแม่ เยี่ยมบ้าน เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยรูปร่างที่ลดขนาดลงไปเกือบครึ่ง!!

ทั้งนี้ จอร์เจียเคยตกเป็นข่าวในหนังสือเดอะ ซัน ของอังกฤษเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมื่อเธออ้วนตุ๊ต๊ะ มีน้ำหนักตัวถึง 209.5 กิโลกรัม กระทั่งหมอที่อังกฤษต้องยื่นคำขาดให้เธอเลือกเอาระหว่าง "จะยอมลดน้ำหนัก 127 กิโลกรัม หรือจะยอมตาย"

นับเป็นโชคดีของจอร์เจียที่เธอได้รับเงินทุนช่วยเหลือให้บินไปเก็บตัวลดน้ำหนักกับทีมผู้เชี่ยวชาญของ สถาบันเวลล์สปริง ในนอร์ธ คาโรไลน่า ที่คิดค่าดูแลรักษาถึงเดือนละ 3,600 ปอนด์ (ราว 204,840 บาท) โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยกันดูแลจอร์เจีย มีทั้งนักพฤติกรรมบำบัด, นักจิตวิทยา, นักโภชนาการ และเทรนเนอร์ ที่ดูแลเรื่องการออกกำลังกายให้แก่เด็กสาวที่มีร่างกายอ้วนเป็นลูกบอลลูน เพราะ "เครียด" แล้วหาทางระบายด้วยการกิน กระทั่งกลายเป็นคนเสพติดอาหาร

จากที่ต้องนั่งเก้าอี้บนเครื่องบินถึง 2 ตัวตอนบินไปเข้าค่ายลดความอ้วนที่สหรัฐอเมริกา แต่ตอนขากลับไปที่อังกฤษ จอร์เจีย ซึ่งสูง 5 ฟุต 6 นิ้ว น้ำหนักตัวลดเหลือ 116.8 กิโลกรัม สามารถนั่งเก้าอี้ตัวเดียวเหมือนผู้โดยสารทั่วไป

"ตอนแม่เห็นหนูที่สนามบิน แม่จำหนูไม่ได้เลย หนูต้องวิ่งไปหาแม่ บอกว่า หนูเอง แม่ได้แต่ร้องไห้" สาวน้อยยังเล่าถึงโปรแกรมลดน้ำหนักที่เธอได้เผชิญมาว่า "มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูได้ทำที่สหรัฐอเมริกา มันได้ช่วยเตรียมตัวหนูให้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ"

สำหรับการกลับมาบ้านคราวนี้ จอร์เจียจะได้อยู่บ้านแค่ 2 เดือน จากนั้น เธอยังต้องเดินทางกลับไปลดน้ำหนักต่อที่สถาบันเวลล์สปริงเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ 76.2 กิโลกรัม ตามเป้า หลังจากที่ตอนนี้อาการปวดข้อเท้า และอาการจากโรคเบาหวานของเธอได้ดีขึ้นมากตามน้ำหนักตัวที่ลดลงไป

"หนูแทบอดใจไม่ไหวที่จะได้โชว์รูปร่างใหม่ให้เพื่อนๆ เห็น และออกไปทำหลายสิ่งหลายอย่างที่หนูอยากทำกับเพื่อนๆ อย่างเช่น ไปโยนโบว์ลิ่ง, ช็อปปิ้ง และสิ่งต่างๆ ที่เด็กวัยรุ่นเขาทำกัน แต่ตอนนี้ หนูยังไม่เคยคิดถึงเรื่องผู้ชายเลยจริงๆ แต่ถ้ามีใครมาชวนหนูออกไปเที่ยว มันก็คงดีไม่หยอก"

หน้า 25
 
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad01270652&sectionid=0115&day=2009-06-27




check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากลอนดอน



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11431 มติชนรายวัน


เรื่องเล่าจากลอนดอน


คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com



กริ๊ง.....................

เสียงสัญญาณเตือนไฟดังสนั่น ทำเอาสะดุ้งตื่นกลางดึก คุณวสันต์ เอกนุ่ม ผู้บริหารคดีธนาคารกรุงเทพ ซึ่งพักอยู่ห้องเดียวกันในชั้น 2 โรงแรมมิลเลเนียม ย่านถนนแฮร์ริงตัน การ์เดนส์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เดินไปเปิดกระตูห้องด้วยสีหน้างัวเงียเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ผมซึ่งอยู่ในอาการเดียวกันชะโงกหน้าดูทางหน้าต่างเพื่อดูว่า มีควันไฟหรือสิ่งบอกเหตุอันตรายใดๆ หรือไม่

ที่หน้าห้องปะหน้าคุณนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อยู่ในชุดนอนโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์เช่นกัน เพียงอึดใจเดียวอธิบดีนครพร้อมด้วยคุณธีรพงศ์ จิระภาค รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็เร่งรีบลงไปที่ล็อบบี้โรงแรม ผมจึงชักชวนคุณวสันต์รีบลงไปด้านล่างเพื่อความปลอดภัยโดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตติดมือไปด้วย

ที่ล็อบบี้พบแขกของโรงแรมอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ส่วนคณะของเราซึ่งเป็นผู้เข้าอบรมผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 13 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 60-70 ชีวิต มีคนลงมาเพียง 6-7 คนเท่านั้น เมื่อรอดูสถานการณ์สักพักหนึ่งเห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะเป็นอันตราย จึงกลับขึ้นไปนอนต่อด้วยความหงุดหงิด

รุ่งเช้าสอบถามคณะของเราหลายคน บางคนได้ยินเสียงสัญญาณ แต่เห็นว่าไม่น่ามีอะไร จึงนอนต่อด้วยความง่วงเต็มที่ บางคนบอกว่า หลับสนิทไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่า การฝึกฝนและเตรียมพร้อมทำให้ความตื่นตัวและเห็นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของคนไทยและชาวต่างชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม สอบถามได้ความว่า เสียงสัญญาณเตือนไฟที่ดังขึ้นตอนตี 3 เศษเป็นเพราะมีชาวอินเดียซึ่งพักอยู่ชั้น 6 โรงแรมอ้างว่าจุดธูปเพื่อทำพิธีบางอย่าง ทำให้เครื่องจับควันไฟและความร้อนทำงาน

คณะของเราเดินทางไปศึกษาดูงานในยุโรปและเข้าอบรมเกี่ยวกับระบบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยน็อตติ้งแฮม โดยมีศาสตราจารย์เดวิด แฮร์ริส ชาวไอริช ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นผู้บรรยาย

ศาสตราจารย์แฮร์ริสเริ่มด้วยการบอกว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นเพิ่งหยิบยกมาพูดกันอย่างกว้างขวางเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา

ในขณะที่มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น เป็นหลักการพื้นฐานของสังคมที่ดี, เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเพราะทำให้กระบวนการต่างๆ ล่าช้า, เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์, เป็นแนวคิดของประเทศตะวันตกที่ใช้ในการขยายอิทธิพลไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น, เป็นเรื่องที่ดี แต่ไร้ประโยชน์

อย่างไรก็ตาม หลักสิทธิมนุษยชนมีอยู่ในศาสนาเกือบทุกศาสนา เช่น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการคุ้มครองผู้มาเยือนซึ่งมีการนำม่ใส่ไว้ในกฎหมายผู้ลี้ภัย

ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกำหนดสิทธิที่มนุษย์ต้องมีอย่างสมบูรณ์คือ สิทธิในการมีชีวิต (แต่มีข้อยกเว้นของกฎหมายของบางประเทศที่จะลงโทษประหารชีวิตได้) สิทธิในที่จะไม่ตกเป็นทาส และถูกทรมานอย่างโหดร้าย แต่ก็มีมหาอำนาจบางประเทศพยายามอ้างว่า ในการทำสงครามกับการก่อการร้ายสามารถทรมานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

หลังเสร็จภารกิจอย่างเป็นทางการมีโอกาสพบกับพี่อรรถพล วรรณนุรักษ์ หรือพวกที่คุ้นเคยกันเรียกว่า "น้าอัด" อดีตหัวหน้าแผนกไทย วิทยุบีบีซีซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่ลอนดอนมานานกว่า 30 ปี ปัจจุบันเป็นพลเมืองอาวุโส รับบำนาญจากบีบีซี

นอกจากจะพาเดินขึ้น-ลงรถไฟใต้ดินอย่างสนุกสนานหลายชั่วโมงแล้ว "น้าอัด" ยังเล่าให้ฟังว่า กลุ่มคนไทยที่อังกฤษได้รวมตัวกันเป็น "ชมรมดนตรีไทยแห่งสหราชอาณาจักรในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ซึ่งพระองค์พระราชทานเครื่องดนตรีไทยแก่ชมรมในช่วงก่อตั้ง

วัตถุประสงค์ของชมรมนอกจากเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยแล้ว ยังสอนดนตรีไทยให้แก่คนไทยในอังกฤษด้วยซึ่งทางสถานทูตไทยให้ความอนุเคราะห์ด้านสถานที่โดยเสียค่าเรียนปีละ 70 ปอนด์

ปัจจุบันทางชมรมมีโครงการที่จะทำซีดีเพลงพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ จำนวน 10 บทเพลง (ได้รับพระราชานุญาตแล้ว) ในชื่อชุด "ไทยดำเนินดอย" เพื่อจำหน่ายนำรายได้มาเป็นทุนในการบำรุงกิจกรรมและเผยแพร่ดนตรีไทยในอังกฤษ แต่ยังขาดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง

ได้ฟังแล้วเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยรวม หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่พอมีกำลังน่าจะสนับสนุนได้

ผู้ที่ต้องสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าวอาจติอต่อที่สถานทูตไทยในอังกฤษหรือคุณรงค์รุจา สีห์สุรไกร ประธานชรมรมได้


หน้า 2
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01col01270652&sectionid=0116&day=2009-06-27





See all the ways you can stay connected to friends and family

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กมธ. พัฒนาสังคมฯ จี้รัฐปรับ TOR โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี ให้สอดคล้องกับวิถีของคนพิการ

 

 

 

กมธ. พัฒนาสังคมฯ จี้รัฐปรับ TOR โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี ให้สอดคล้องกับวิถีของคนพิการ

25 มิ.ย. 52 -             กมธ. พัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา จี้ รัฐบาลปรับปรุงรายละเอียดทีโออาร์โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ให้เช่ารถที่ได้ตามมาตรฐานสากลและอำนวยความสะดวกให้คนพิการอย่างเพียงพอและครอบคลุมทุกเส้นทาง

นางยุวดี  นิ่มสมบุญ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา กล่าวถึงโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ว่า  คณะกรรมาธิการเคยทักท้วงทีโออาร์ในโครงการดังกล่าวเกี่ยวกับมาตรฐานสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ คนพิการ ต่อองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพแล้ว  เนื่องจากพบว่ามาตรฐานของรถเมล์ที่เช่ายังไม่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลที่ต้องติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่อประชาชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะคนพิการ แต่องค์การขนส่งมวลชนฯ กลับดำเนินการเพียงให้จัดเช่ารถเมล์ที่อำนวยประโยชน์ต่อคนทุกกลุ่มจำนวน 145 คัน โดยแบ่งเป็นเส้นทางเดินรถสายละ 1 คันเท่านั้น คณะกรรมาธิการจึงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลและองค์การขนส่งมวลชนฯ ปรับปรุงรายละเอียดตามทีโออาร์ให้เช่ารถที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อคนทุกกลุ่มและคนพิการ และเป็นรถโดยสารแบบพื้นต่ำ ( low floor ) ที่ประเทศไทยผลิตเองได้ ให้มีจำนวนมากพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ลักขณา  เทียกทอง / ผู้สื่อข่าว

มันทนา  ศรีเพ็ญประภา / เรียบเรียง

 



Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อ่านหนังให้ฟัง ความดีนี้เพื่อเด็กพิการ

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11425 มติชนรายวัน


อ่านหนังให้ฟัง ความดีนี้เพื่อเด็กพิการ





หนังที่ว่านี้หมายถึงภาพยนตร์นั่นเอง และยังเป็นภาพยนตร์ที่ใครหลายคนชื่นชอบ และเป็นกิจกรรมหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาว่างทำเสมอๆ อย่างที่มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยเดินหน้าสานต่อโครงการ "One by One : เปิดโลกกว้างทางปัญญา" จัดงานมอบหนังสือเสียงครั้งที่ 6 เพื่อผู้พิการทางสายตา รวม 29 เรื่อง จำนวน 8,700 แผ่น ล่าสุดได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการนำหนังสือ "พระมหาชนก" มาจัดทำในรูปแบบหนังสือเสียง พร้อมจัดกิจกรรม "อ่านหนังให้น้องฟัง" ชวนน้องดูหนังเรื่อง "ก้านกล้วย 2" ในรูปแบบเฉพาะของผู้พิการทางสายตา

งานนี้เด็กๆ ผู้พิการทางสายตาต่างดีใจเป็นอย่างมากที่จะได้ไปร่วมฟังภาพยนตร์การ์ตูนที่ชื่นชอบ และเป็นการเปิดโลกทรรศน์ให้ทุกโสตประสาทของน้องๆ ทั้งทักษะการอ่าน การเล่า การฟัง และการจินตนาการ เพราะเป็นครั้งแรกที่เด็กๆ ได้ดูหนังในรูปแบบเฉพาะและครบวงจร ซึ่งมีการพากย์เสียงและอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวมากยิ่งขึ้น นำโดยนันทนา บุญหลง นักแสดงมากฝีมือและนักพากย์ชื่อดังเป็นผู้พากย์ในครั้งนี้ และยังได้ร่วมทำกิจกรรมมากมาย ทั้งชมนิทรรศการ ลองเล่นเกมส์เต้น ปั้นดินน้ำมัน ทำให้บรรยากาศสนุกสนานมากมาย



นายปรีชา ประกอบกิจ ประธานกรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย บอกว่า ปกติแล้วในภาพยนตร์จะไม่มีบทพูดค่อนข้างมาก ตรงจุดนี้จะทำให้เด็กๆ ไม่สามารถติดตามเนื้อเรื่องได้ เนื่องจากจะมีแต่เสียงเพลงบรรเลงทำให้ยากจินตนาการ ดังนั้น การทำหน้าที่เป็นดวงตาที่สองคือการพากย์และอธิบายเพิ่มเติมจะช่วยให้เด็กๆ สามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้มากยิ่งขึ้น



ส่วนหนังสือเสียงนั้นได้รับความอนุเคราะห์ด้านลิขสิทธิ์หนังสือจากบรรดานักเขียนและสำนักพิมพ์ต่างๆ พร้อมการสนับสนุนจากกรมประชาสัมพันธ์ที่กรุณาจัดสรรวิทยากรมืออาชีพมาเป็นผู้ให้การฝึกอบรมการอ่านแก่อาสาสมัครร่วมถ่ายทอดเสียงลงในหนังสือเสียง รวมไปถึงบรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียง นักเขียน และสื่อมวลชน อาทิ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล, อภิรักษ์ โกษะโยธิน, รอง เค้ามูลคดี, สิริยากร พุกกะเวช เป็นต้น ซึ่งมูลนิธิแอมเวย์ได้ผลิตและส่งมอบหนังสือเสียงแล้ว 6 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 144 เรื่อง จำนวนกว่า 158,700 ชิ้น ทั้งในรูปแบบซีดีระบบเดซี่และเทปคาสเซ็ต หลากหลายสาขา อาทิ วรรณกรรมเยาวชน ความรู้ทั่วไป หนังสือธรรมะ โดยมีสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางผู้ดูแลผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศ เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปจัดส่งต่อไปยังโรงเรียน องค์กร ศูนย์และหน่วยงานบริการผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศต่อไป

เป็นการทำบุญที่ได้กุศลสูงสุด


หน้า 25
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01you03210652&sectionid=0122&day=2009-06-21

สร้าง"ผู้นำกุลสตรี" ฝ่าวิกฤตกระแสสังคมยุคใหม่

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11425 มติชนรายวัน


สร้าง"ผู้นำกุลสตรี" ฝ่าวิกฤตกระแสสังคมยุคใหม่


โดย สุนทร เชี่ยวพานิช




โลกในยุคโลกาภิวัตน์ ถือเป็นโลกแห่งความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการที่หลากหลาย หรือที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า เป็นโลกไร้พรมแดน ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม จนอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในขณะเดียวกันเมื่อมีความสะดวกสบายเกิดขึ้น ก็ย่อมมีผลเสียตามมาเช่นกัน คือมุมหนึ่งได้กลายเป็นเงามืดที่เข้ามาบดบังวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคมไทยอย่างน่าวิตก

จะเห็นได้จากปัญหาเรื่องพฤติกรรมในการแสดงออกของเด็กไทยยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนจะเบี่ยงเบนไปจากอดีต ชนิดที่เรียกได้ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ จนขาดความน่ารักน่าเอ็นดูไปอย่างน่าเสียดาย ที่สำคัญได้ขัดต่อความรู้สึกของผู้คนในสังคมแบบไทยๆ จนกลายเป็นปัญหาวิตกจริตไปในที่สุด

ดังนั้น หากหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งทุกภาคส่วนของสังคมไทยยังเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว เชื่อว่าอีกไม่นานวัฒนธรรมไทยซึ่งถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติก็อาจจะถูกกลืนหายสาบสูญไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม *โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ* สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ซึ่งเปิดสอนเฉพาะเด็กนักเรียนหญิง ตั้งแต่ระดับชั้น ม.1-6 ได้มองเห็นสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการ *"เสริมสร้างอัตลักษณ์ ผู้นำกุลสตรี"* ขึ้น

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการปลูกฝังจิตสำนึกเชิงอนุรักษนิยมในความเป็นไทยให้แก่เด็กนักเรียนทั้งในด้านเจตคติ ค่านิยม รวมทั้งพฤติกรรมที่พึงประสงค์อย่างถาวร ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ พ.ศ.2550 โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เด็กนักเรียนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 และภายหลังจากที่ได้ดำเนินงานปรากฏว่า นอกจากจะได้รับความสนใจจากคณะครู นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี



*ที่สำคัญเด็กนักเรียนที่เข้ารับการอบรมนี้โครงการนี้ นอกจากจะมีพฤติกรรม โดยเฉพาะในด้านบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ยังเป็นผู้ที่มีทัศนคติที่ดี และรู้ในคุณค่าของความเป็นไทยอย่างน่าชื่นชม และพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับกระแสสังคมภายนอกที่เชี่ยวกรากอยู่ในขณะนี้ได้อย่างมั่นใจ*

*นางพัชรา ทิพยทัศน์* ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชาลัยฯ เปิดเผยถึงเหตุผลที่ต้องดำเนินงานตามโครงการนี้ ก็เนื่องจากที่ผ่านมาได้เห็นเด็กไทยยุคปัจจุบันมีบุคลิกภาพและพฤติกรรมน่าห่วง ยิ่งเรื่องขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมไทย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะบกพร่อง ดังนั้น จึงต้องการอยากเห็นเด็กในยุคนี้ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของความเป็นคนไทยที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการ ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี โดยมีวิธีในการฝึกอบรมเข้มทั้งด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ อาทิ การศึกษาจากใบงาน การบรรยาย การอภิปราย การระดมสมอง การฝึกปฏิบัติจริง และอื่นๆ รวมทั้งมีขั้นตอนการประเมินผลโครงการอย่างเป็นระบบ และมีเนื้อหาสาระสำคัญ 6 ด้านดังนี้



1.บุคลิกสง่างาม คือ จิตใจแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง สวยใสอยู่ในกรอบ รักษ์วิถีไทย ใจสู้คู่คุณธรรม ชูภาษาชาติ องอาจสู่สากล

2.กล้าหาญเชิงจริยธรรม คือ กตัญญูกตเวที คิดดีทำดีพูดดี มีความเที่ยงตรงและเที่ยงธรรม รักหน้าที่ ตรงต่อเวลา น้ำใจนักกีฬา รักษาแผ่นดินไทย

3.มีปฏิภาณไหวพริบ คือ รู้จักคิดแก้ปัญหา เห็นคุณประโยชน์และโทษ ไม่พิโรธอหังการ์ พัฒนาสร้างบรรยากาศ เก่งกาจสื่อสาร รู้การคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์

4.ใฝ่รู้ใฝ่เรียน คือ สดับฟัง ตรึกตรอง เฝ้ามอง ลองถาม ตามประเด็น

5.จิตสาธารณะ คือ น้ำใจงาม รักโรงเรียน ผูกพันท้องถิ่น นักประชาธิปไตย รักษาสาธารณสมบัติ บำเพ็ญประโยชน์

6.มนุษยสัมพันธ์ คือ ยิ้มแย้มแจ่มใส ตั้งใจสนทนา เจรจาไพเราะ สงเคราะห์เกื้อกูล เพิ่มพูนความรัก สมัครสมานสามัคคี

*นายเติบ ใยเจริญ* ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กล่าวเสริมว่า ในส่วนตนเห็นด้วยกับโครงการอัตลักษณ์ ผู้นำกุลสตรี ของโรงเรียนเบญจมราชาลัยฯ เพราะอย่างน้อยจะช่วยให้เด็กนักเรียนซึ่งถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่า ได้เรียนรู้ และเข้าใจในวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติไทยยิ่งขึ้น ที่สำคัญสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ได้มีนโยบายที่จะพัฒนาโรงเรียนในสังกัดให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน (Excellent School) อยู่แล้ว ดังนั้น โครงการดังกล่าวนี้จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา

*นางลัดดา ชูวิวัฒน์* ผู้ปกครองนักเรียนที่เข้ารับการอบรม กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ส่วนตนรู้สึกพึงพอใจ โดยเฉพาะได้เห็นบุตรสาวมีพฤติกรรมเรียบร้อยขึ้น ที่สำคัญเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ รวมทั้งมีความรักและผูกพันกับพ่อแม่มากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น จึงอยากให้โรงเรียนดำเนินโครงการนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การที่โรงเรียนเบญจมราชาลัยฯได้มองเห็นปัญหาและจัดทำโครงการ "อัตลักษณ์ ผู้นำกุลสตรี" ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักก็เพื่อต้องการที่จะปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องวัฒนธรรมไทยให้แก่นักเรียน แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งในสังคมก็จริง แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยก็เป็นการช่วยสร้างประกายแห่งความหวัง รวมทั้งช่วยจุดกระแสให้สังคมได้ตื่นตัวในปัญหาดังกล่าว เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการทวงคืนนำเอามรดกอันล้ำค่าทางด้านวัฒนธรรมไทยกลับมาดังเดิม

ดังนั้น จึงอยู่ที่ความสำนึกขององค์กรอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายว่าจะตระหนักในปัญหาดังกล่าว และพร้อมที่จะสอดประสานมือเข้ามาร่วมเป็นพลัง ในการฉุดดึงเอาวัฒนธรรมไทยที่ทรงคุณค่านี้กลับคืนมา เป็นสมบัติของชาติหรือไม่อย่างใดเท่านั้น

หน้า 7
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01edu01210652&sectionid=0107&day=2009-06-21
 

'ช็อกโกแลต ซีสต์'...ปวดท้องประจำเดือน /"หัวเราะ" ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค

ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!

ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น  “ช็อกโกแลต ซีสต์” ได้!
   
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น  หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์
   
ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน
   
แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่  รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า  แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่” (Endometriosis)
   
“มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก”
   
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้
   
เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน
   
พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง  มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง
   
กรณีถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง
   
ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง
   
นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า  “สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ    ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น”
   
ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน
   
เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.

"หัวเราะ" ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค

เสียงหัวเราะขำขันที่เราได้ยินกันนั้นแสดงถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน แต่ท่านทราบหรือ ไม่ว่า การหัวเราะนอกจากจะ ทำให้สุขภาพจิตได้ผ่อนคลายแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ  ร่างกายมหาศาลทีเดียว...
   
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข  ให้ความรู้ว่า การหัวเราะบำบัดในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ หัวเราะแบบธรรมชาติมาจากใจ ซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขันอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และ หัวเราะเพื่อการบำบัดรักษา ซึ่งการหัวเราะทั้ง 2 รูปแบบล้วนมีประโยชน์ คือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภทปลุกเร้าเพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบหายใจ ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญของออกซิเจน ระบบขับถ่าย ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อบนใบหน้า ระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ผิวพรรณดี เป็นต้น
   
จากผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การหัวเราะขำขันจากความรู้สึกลึก ๆ จากภายในอย่าง  แท้จริง โดยไม่เสแสร้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ออกมาส่งผลดีต่อระบบร่างกายในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด (กรณีคนไข้ที่เป็นเบาหวาน) ทำให้ระบบคุ้มกันทำงานดีขึ้น มีประสิทธิภาพ นอนหลับสบาย คลายความวิตกกังวล
   
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยพบอีกว่า การหัวเราะบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้โดยไม่ต้อง อดอาหาร เพราะการหัวเราะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาเราหัวเราะมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงาน อย่างเต็มที่จนบางครั้งเกิดอาการเจ็บหน้าท้องหรือที่เราเรียกกันว่า ท้องแข็ง จึงถือเป็นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่ซึมซับความเครียดของ ผู้ใหญ่และไม่สามารถระบายออกได้ จึงควรกระตุ้นให้เด็กได้หัวเราะบ่อย ๆ เพราะการหัวเราะจะทำให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้เด็ก ๆ มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีอีกด้วย
   
ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็ก ๆ ถ้าหัวเราะ 400 ครั้งต่อวัน จะยิ่งดีมาก ๆ สำหรับที่มาของอารมณ์ขันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง คุณหมอ แนะนำว่า เพียงแค่เราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเป็นความน่ารักของธรรมชาติที่จะทำให้เรารู้สึกขำตัวเองว่าหัวเราะทำไม วิธีนี้จะช่วยให้เกิดอารมณ์ขันอย่างแท้จริงได้เช่นกัน 
   
ไม่น่าเชื่อว่าการหัวเราะจะมีประโยชน์มากมายเช่นนี้ใช่ไหมคะ...การที่เรามีสุขภาพจิตดีจะช่วยนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา แถมใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ถือเป็นการสร้างเสน่ห์ไปในตัว.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=4447

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ต่อล้อให้เน็ตบุ๊กแปลงร่างเป็น RoBeDo

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11422 มติชนรายวัน


ต่อล้อให้เน็ตบุ๊กแปลงร่างเป็น RoBeDo


คอลัมน์ จูนคลื่น




หน้าตาท่าทางที่เห็นคือ "เน็ตบุ๊ก" ที่จับมาแต่งตัวด้วยการ "ต่อล้อ" ใส่ฐาน เพื่อความสะดวกในการทำงาน เคลื่อน ไหว ดูคล้ายๆ สร้างหุ่นยนต์แบบไม่ยาก ขึ้นมา โดยมีเน็

ตบุ๊กนั่นแหละเป็น "มันสมอง" ในการสร้างเคลื่อนที่ และได้รับการตั้งชื่อว่า "โรบีดู" (RoBeDo) จากการติดเครื่องยนต์กลไกเข้าไปบนฐานอะลูมิเนียมต่อ 2 ล้อยักษ์ใหญ่

และหนึ่งล้อเล็ก ใส่แบตเตอรี่บรรจุไว้เพื่อการสั่งงานด้วยระบบดิจิตอล แถมมีเซนเซอร์อินฟราเรดนำทางอาร์เรย์ ใช้ขยับตัวเพื่อเก็บข้อมูล และยังมีพอร์ตยูเอสบี เชื่อม ต่อเข้ากับคอมพิว เตอร์อื่นๆ ได้อีกด้วย ของเห็นชินตาสองอย่าง จับมาแมตช์เข้าด้วยกัน เปลี่ยนร่างต่อล้อเพื่อสร้างสาระประโยชน์ใช้งานแบบอื่นๆ เพิ่มมูลค่าขึ้นมาอีก


หน้า 26

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe02180652&sectionid=0147&day=2009-06-18
 

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กทม.ทุ่ม 100 ล้านผุดที่จอดรถ 5 แห่งเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสลุยติดลิฟต์เพิ่มทุกสถานี

วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 08:41:25 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 
 
กทม.ทุ่ม 100 ล้านผุดที่จอดรถ 5 แห่งเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสลุยติดลิฟต์เพิ่มทุกสถานี

กทม.ทุ่ม 100 ล้านบาท พัฒนา 5 จุดเชื่อมต่อ ส่งเสริมคนใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสเชื่อมต่อกับระบบอื่น ที่อโศก-เพชรบุรี สาทร อนุสาวรีย์ชัยฯ หมอชิต และแยกศาลาแดง พร้อมติดลิฟต์ที่บีทีเอสทุกสถานี สำหรับคนพิการอีก 56 ตัว 700 ล้านบาท

นายจุมพล สำเภาพล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ได้จัดทำแผนการดำเนินการพัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอสกับระบบขนส่งมวลชนอื่น หรือที่จอดรถยนต์จำนวน 5 บริเวณ ค่าก่อสร้าง 100 ล้านบาท ประกอบด้วย บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี งบประมาณ 10 ล้านบาท บริเวณสาทร งบประมาณ 15 ล้านบาท บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 25 ล้านบาท โดย 3 บริเวณแรกจะดำเนินงานระหว่างปี 2552-2555 ส่วนบริเวณหมอชิต งบประมาณ 25 ล้านบาท และบริเวณแยกศาลาแดง 25 ล้านบาท จะเป็นแผนดำเนินงานระหว่างปี 2556-2559 

 

การดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทางของประชาชน และทำให้สถานที่มีความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย โดย กทม.จะคำนึงถึงทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมบริเวณจุดเชื่อมต่อเป็นสำคัญ นอกจากนี้จะส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ซึ่งจะลดปัญหาจราจรจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลได้

 

นายจุมพลกล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เพิ่มลิฟต์สำหรับผู้พิการขึ้นในสถานีบีทีเอสทุกสถานีจำนวน 56 ตัว งบประมาณ 700 ล้านบาท จะแล้วเสร็จในปี 2554 จากปัจจุบันรถไฟฟ้าบีทีเอสมีบันไดเลื่อนทั้งสิ้น 27 ตัวใน 17 สถานี ขณะเดียวกันมีลิฟต์โดยสารสำหรับผู้พิการ สตรีมีครรภ์ และคนชรา จำนวน 5 สถานี รวมกับอีก 2 สถานีใหม่ ในเส้นทางส่วนต่อขยายสายสีลม ที่สถานีกรุงธนบุรีและสถานีวงเวียนใหญ่เป็น 7 สถานี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนโดยเฉพาะคนพิการที่ต้องการใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส กทม.จึงมีนโยบายเพิ่มลิฟต์โดยสารให้ครบทั้ง 25 สถานี ใน 2 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากขึ้น

 

"ทั้งหมดนี้จะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภา กทม. เพื่อของบประมาณติดตั้ง โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2554 จะติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมดทุกสถานี แบ่งเป็น ปี 2552 ติด 10 ตัว ปี 2553 ติด 20 ตัว และปี 2554 ติดอีก 26 ตัว" นายจุมพลกล่าว
 

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การงานธารธรรม ... ไม้ต่อตั้งต้น

คอลัมน์แทบลอย

                             พ่อคำฟองแขนขาดจากการหลุดเข้าไปในสานพานของโรงสี สิ้นหวัง คิดจะเลิกกับภรรยาเพราะไม่อยากเป็นภาระ ทว่าก็กลับมาต่อสู้จนกลายเป็นคนสำคัญของชุมชนจนได้รับเลือกเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และกรรมการชุมชนอีกหลายชุด เช่นเดียวกับผู้พิการอีกคนที่ขาขาดถึงสะโพกจากการหลุดเข้าไปในเครื่องสีข้าว ท้อแท้ แต่ก็ลุกขึ้นสู้จนเป็นกำลังหลักของครอบครัว ทำนาได้ด้วยตัวเองเกือบทุกขั้นตอน ตลอดจนนำวัวขึ้นไปเลี้ยงบนภูเขาได้สบายด้วยการใช้ไม้เท้าค้ำยัน

     สองเรื่องราวชีวิตสิ้นหวังถดถอยค่อยๆ กลับมาเข้มแข็งเป็นที่พึ่งทั้งกับตนเองและครอบครัวนี้มีที่มาจากการทำงานด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของพรพรรณ ชัยมงคล พยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว โรงพยาบาลอุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ที่ลงพื้นที่ทำงานบนฐานข้อมูลผู้พิการในชุมชนที่ว่างเปล่าทั้งด้านจำนวน บุคคล และชีวิตความเป็นอยู่

     "ข้อมูลจำกัด เราจึงวางแผนการทำงานเป็นสามขั้นตอน หนึ่งสำรวจค้นหาผู้พิการในทุกตำบลจนพบภาพรวมว่าส่วนใหญ่เป็นความพิการจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่พิการแต่กำเนิด และมากกว่าครึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว แขนขาของครอบครัว แต่เมื่อพิการ จำนวนมากกว่าครึ่งนั้นกลับอยู่เฉยๆ ไม่ทำมาหากิน ทั้งๆ ที่พวกเขามีศักยภาพที่จะไม่ต้องตกเป็นภาระครอบครัวหรือชุมชนได้ จึงนำมาสู่ขั้นตอนที่สอง จัดกิจกรรมฟื้นฟูสุขภาพผู้พิการให้กลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ ตามมาด้วยสาม พัฒนาศักยภาพผู้พิการที่มีความสามารถและมีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอื่นเพื่อเป็นแบบอย่างดีๆ ที่น่าเชิดชู"

     พรพรรณเผยกลยุทธ์การทำงานที่สร้างต้นแบบผู้พิการที่ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชะตากรรมขึ้นในชุมชน จนสามารถแผ้วถางทางให้ผู้พิการที่ท้อถอยกลับมาก้าวย่างทางชีวิตอีกครา

     ด้วยว่าประสบการณ์ของผู้อยู่ในสถานภาพด้อยโอกาสอย่างเดียวกัน ย่อมรังสรรค์บทเรียนชีวิตต้องสู้ดีกว่าการเอ่ยถ้อยคำปลอบโยนใดๆ ของผู้สมบูรณ์พร้อม

     "ภาพผู้พิการแขนขาดกับผู้พิการขาขาดกอดคอกันถ่ายรูปน่าประทับใจมาก กิจกรรมที่เราพาผู้พิการขาขาดไปดูงานผู้พิการแขนขาดก็เพราะอยากให้เขามีกำลังใจ และคิดว่าวิบากกรรมที่ประสบอยู่นั้นไม่จำเป็นต้องยาวนานตลอดชีวิต มีคนที่มีสภาพเหมือนเขาแต่ฟื้นฟูตัวเองได้ วันที่เราพาผู้พิการขาขาดไปพูดคุยกับพ่อคำฟองที่พิการแขนขาด พวกเขาก็นั่งคุยกันเหมือนคนสนิทสนมรู้จักกันนับสิบๆ ปี พ่อคำฟองพาไปดูที่นาตัวเองแล้วเล่าว่า จุดเริ่มต้นก็ท้อแท้ไม่ต่างกัน หลังจากนั้นก็ให้คำมั่นสัญญาระหว่างกันว่าจะทำให้ได้เหมือนกัน ก่อนกลับพ่อคำฟองยังให้ข้าวสารสองกระสอบไปกินที่บ้านด้วย"

     ความประทับใจใช่ปรากฏแค่วาจา ทว่ายังฉายชัดในสายตาพรพรรณขณะเล่าเรื่องราวด้วย

     การงานทำด้วยหัวใจกรุณาเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพิ่มพลังใจให้ผู้พิการจากการสร้างสรรค์สายสัมพันธ์ระหว่างผู้พิการที่ส่วนมากมักกีดกันเก็บตัวจากสังคมจนสำเร็จเท่านั้น ทว่าสายใยรักของสมาชิกครอบครัวที่เคยขาดผึงก็กลับมาถักถ้อยร้อยรัดจนเหนียวแน่น เฉกเช่นกรณีที่แม่แก่ชราป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่นอนอยู่บ้านเดียวดาย เพราะลูกทั้งสามคนต้องออกไปทำมาหากินแต่เช้ากลับก็พลบค่ำไปแล้ว

     "ลูกๆ ไปรับจ้างแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำ ไม่ได้ดูแลแม่ แม่ต้องอยู่คนเดียว มีเพียงอาหารวางไว้ให้แม่ตักกินเอง และใส่ผ้าอนามัยผู้ใหญ่ไว้ให้ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาก็ไม่เคยได้รับการฟื้นฟูเลย เราก็เข้าไปเป็นตัวเชื่อมให้ลูกๆ ได้ผัดเวลากันกลับมาดูแลแม่ มานวด มากระตุ้น มาทำกายภาพบำบัด โดยมีนักกายภาพบำบัดมาสอนวิธีให้ จนพวกเขาทำได้ดี จากเดิมกลัวแม่จะเจ็บและเป็นหนักขึ้น"

     จุดเปลี่ยนในครอบครัวผู้พิการมาจากการตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด ได้ผลดีที่สุด ถึงจะมีอุปสรรคขวากหนามก็พยายามหาทางหักลิดรอนเสียด้วยการสะท้อนปัญหา และระดมความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงการปรึกษาผู้บริหารอยู่เสมอของพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว ที่เริ่มต้นทำงานกับโรงพยาบาลอุบลรัตน์นับแต่แรกเรียนจบปี 2530 จวบจนถึงปัจจุบันนี้ กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอุบลรัตน์ไปในที่สุดแม้นไม่ได้เกิดที่นี่

     "การทำงานกับผู้พิการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง ผนวกกับพื้นฐานครอบครัวที่มีพ่อขยันและอดทนมาก สอนให้ลูกๆ ติดดิน จนเราสามารถทำนา ไถนา คราดนา หว่านข้าว เกี่ยวข้าวได้ตั้งแต่ 7 ขวบ ขณะแม่ถึงจะเป็นคุณแม่อาสาทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสบาย แต่ก็ให้ลูกเรียนรู้ร่วมด้วยเสมอ ส่วนลูกๆ ก็ได้ตักบาตรทุกวัน ถึงวันพระก็ถือปิ่นโตไปวัด ถูกเพาะบ่มมาโดยใช้หลักธรรม"

     นอกจากสองจุดเปลี่ยนในครอบครัวผู้พิการและภายในจิตใจตัวเธอเองแล้ว การตั้งปณิธานทำสิ่งดีๆ ให้กับคนทุกข์ยากเจ็บไข้ได้ป่วย โดยใช้วิชาชีพพยาบาลบำบัดรักษาก็นำจุดเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กรด้วยเฉกเช่นเดียวกัน เพราะบทบาทหน้าที่หนึ่งของเธอ คือการเป็นทีมวิทยากรที่ทุ่มเททำงานเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของประชาชนและเจ้าหน้าที่

     "เดิมทำงานชุมชน ก็พยายามดึงรูปแบบงานชุมชนเข้ามาทำในโรงพยาบาล จัดตั้งกลุ่มชุมชนที่มีเจ้าหน้าที่ที่มีจิตอาสาหลายฝ่ายมาร่วมกันเกือบ 20 คน ทำให้เวลาลงพื้นที่ไม่โดดเดี่ยว ทั้งยังเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ที่ชอบบ่นคนไข้ว่า ทำไมมาเร็วนักช้านัก ก็ได้เรียนรู้หลังลงพื้นที่ว่ากว่าคนไข้จะมาโรงพยาบาลนั้นพวกเขาต้องตัดสินใจ เตรียมการมากมาย ไม่ใช่นึกจะมาก็มาเลย หลังจากนั้นก็นำปัญหาและความภาคภูมิใจมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันด้วย โดยโรงพยาบาลเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ทุกคนลงชุมชนได้ด้วย"

     ความภาคภูมิใจที่ได้เห็นคนไข้เปลี่ยนจากทุกข์มีสุขเช่นนี้ นอกจากกล่อมเกลาจิตใจให้มีแต่ความกรุณาแล้ว ยังสร้างเสริมความเชื่อมั่นคนทำงานด้วยว่าได้ทำบทบาทหน้าที่ดีที่สุดแล้ว จากการให้ที่ผู้อื่นรับ "ไม้ต่อตั้งต้น" นี้ไปสรรค์สร้างทีมงานได้ ไม่ต่างจากวัตรปฏิบัติปราชญ์ชาวบ้านที่พรพรรณศรัทธาใกล้ชิด ทีแรกมักถูกมองเป็น "ผีบ้า" เพราะใช้ชีวิตไม่เหมือนคนอื่นที่ตกใต้วัฒนธรรมทุนนิยม ทว่าเมื่อเวลาผันผ่านก็มีคนก้าวย่างทางที่พวกเขาฝากรอยเท้าไว้มากมาย เพราะตระหนักว่าความสุขแท้จริงจักต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงโลภกอบโกยเป็นพอเพียงพออยู่พอกิน.

                                                 ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

                                                แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ

                                                มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

                     และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
 
http://www.thaipost.net/tabloid/140609/6183


What can you do with the new Windows Live? Find out

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สุนัขเตือนภัย

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 10:38 น.
 
 
สุนัขเตือนภัย
ที่มลรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ 'ลิลเลียน มิลเลอร์' สาวใหญ่วัย 58 ปี รอดตายจากเหตุเพลิงไหม้บ้านตัวเองได้อย่างหวุดหวิด เพราะสุนัขเลี้ยงของเธอช่วยชีวิต
เมื่อตอนตี 3 เจ้าตูบพันธุ์ชิวาวา สุนัขเลี้ยงที่สำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน รู้สึกถึงความผิดปกติ ขณะเจ้านายผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินหลับใหลอยู่บนเตียงนอน สุนัขตัวดังกล่าวจึงทั้งเห่าทั้งเข้าไปสัมผัสเจ้านายด้วยท่าทางที่รุกรี้รุกรน
ส่วนมิลเลอร์ก็เข้าใจว่า สุนัขของตนอาจต้องการขับถ่าย จึงลุกไปเปิดประตูบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นโมบายล์โฮม เพื่อพาสุนัขออกไปด้านนอก
เมื่อเธอหันหลังมองกลับไปที่บ้าน เธอพบกลุ่มควันและเปลวเพลิงลุกโชนออกมาจากหน้าต่างบริเวณห้องนั่งเล่น และลุกลามอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอจึงร้องขอความช่วยเหลือ ส่วนเจ้าสุนัขตัวจิ๋วก็เห่าโวยวายไม่ยอมหยุด
ถ้าไม่เห่า เดี๋ยวจะหาว่าตูบไม่เตือน.
หมายเหตุ-ภาพประกอบที่ใช้ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
 
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74866&NewsType=2&Template=1


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

โลกเสมือนจริงของสองนิสิตจุฬาฯ โลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นก็เข้าไปได้ที่ http://wc2009.hpcnc.com/

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.
 
 
โลกเสมือนจริงของสองนิสิตจุฬาฯ
ชนะเลิศวันเดอร์แลนด์ ชาเล้นจ์ 2009
การแข่งขันวันเดอร์แลนด์ ชาเล้นจ์ 2009 (Wonderland Challenge 2009) ที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้แข่งขันสร้างโลกเสมือนจริง (3D Virtual World) ครั้งแรกในประเทศไทย ประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ซัน ไมโครซิสเต็มส์ และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยให้นิสิต นักศึกษา ที่เข้าร่วมแข่งขันจะต้องสร้างโลก 3 มิติ เสมือนจริงตามไอเดียและแนวความคิดของแต่ละทีมผ่านโปรแกรมโมเดล 3 มิติทั่วไป อาทิ กูเกิล สเก็ตช์ อัพ (Google Sketch Up) จากนั้นจึงนำโมเดลที่ได้สร้างขึ้นเข้าไปในโปรแกรมวันเดอร์แลนด์ ซึ่งเป็นโปรแกรมทูลคิทแบบโอเพ่นซอร์สของซัน ไมโครซิสเต็มส์ เพื่อสร้างโลกเสมือนจริง 3 มิติรันด้วย จาวา (Java) ร้อยเปอร์เซ็นต์ และสามารถใส่วิดีโอ, ไฟล์พีดีเอฟ, สไลด์, เพลง ลงไปในโลกที่เราสร้างขึ้นได้
 
การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ อัลติเมต เลิร์นนิ่ง เอ็นไวรอนเมนต์ (Ultimate Learning Environment) มีนิสิต นักศึกษาสร้างผลงานโลกเสมือนจริงเข้าร่วมประกวดกว่า 30 ทีม ผู้ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ คือ ทีมไฮเปอร์ริเนียน (Hyperion) สมาชิกประกอบด้วย "น้องเบลท์" นายเกรียงไกร ตรัยไชยาพร และ "น้องแก๊บ" นายณพวัฒน์ มุกตพันธุ์ นิสิตชั้นปีที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
น้องทั้งสอง บอกว่า ผลงานที่ทำขึ้นเป็นการสร้างโลกเสมือนจริง 3 มิติ เป็นสถานีอวกาศ เนื่องจากชอบนวนิยายและภาพยนตร์ แนววิทยาศาสตร์ จึงได้นำมาเป็นแนวคิดหลัก ของงาน โดยใช้เวลา ออกแบบและสร้างประมาณ 1 เดือน ภายในสถานีอวกาศจะประกอบไปด้วยห้องต่าง ๆ อาทิ ห้องสมุด ห้องดูหนังฟังเพลง ห้องดูดาว และห้องชมแสงอาทิตย์ ห้องคาเฟ่ ห้องกรีนรูมจำลองธรรมชาติ และห้องแกลลอรี่ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเราเข้าไปยังสถานีอวกาศเราสามารถที่จะเดินเข้าไปยังห้องต่าง ๆ ได้ โดยมีอวาตาร์ (Avatar) เป็นตัวแทนของเรา
 
"ก่อนที่จะสร้างงานได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับทางโครงการเป็นเวลา 2 วัน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้โปรแกรมสร้างโมเดล 3 มิติ คือ กูเกิล สเก็ตช์อัพ และการนำโมเดลใช้กับวันเดอร์แลนด์ ผลงานนี้ความยากอยู่ที่การ ออกแบบห้องต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากไม่ให้กินทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์มาก สิ่งที่ทำให้ชนะเลิศการแข่งขันน่าจะมาจากแนวคิดของผลงานที่ไม่เหมือนใคร สำหรับการพัฒนาขั้นต่อไปอยากนำไฟล์วิดีโอ ใส่เข้าไปในโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้น" 
 
ด้าน ผศ.ภุชงค์ อุทโย กาศ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตร ศาสตร์ กล่าว ว่า "โปรเจคท์วันเดอร์แลนด์ เป็นของซัน แล็บ (Sun Labs) ที่สหรัฐอเมริกา มีจุดเด่น ในการใช้สร้างโลกเสมือน จริง 3 มิติ ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนออนไลน์ สร้างพิพิธภัณฑ์    ออนไลน์ได้ และขณะนี้ทางมหาวิทยาลัย เตรียม ร่วมมือ กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ และสำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หรือยูนิเน็ต (UniNet) ในการนำเทคโนโลยีวันเดอร์แลนด์มาใช้สร้างโลกเสมือน 3 มิติ จำลองมรดกโลกของ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าชมสถานที่เหล่านี้เสมือนจริงผ่านทางอินเทอร์เน็ต เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์ประวัติศาสตร์และศิลปะของไทย โดยจะเริ่มสร้างโมเดลของวัดไชยวัฒนารามก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในอีก 4 เดือนข้างหน้านี้"
 
สำหรับตอนนี้หากอยากจะดูผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันครั้งนี้และเข้าไปเดินเล่นในโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นก็เข้าไปได้ที่ http://wc2009.hpcnc.com/

จิราวัฒน์  จารุพันธ์
JirawatJ@dailynews.co.th

 

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201600&NewsType=1&Template=1



Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

รายการบล็อกของฉัน

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com