คอลัมน์แทบลอย
พ่อคำฟองแขนขาดจากการหลุดเข้าไปในสานพานของโรงสี สิ้นหวัง คิดจะเลิกกับภรรยาเพราะไม่อยากเป็นภาระ ทว่าก็กลับมาต่อสู้จนกลายเป็นคนสำคัญของชุมชนจนได้รับเลือกเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และกรรมการชุมชนอีกหลายชุด เช่นเดียวกับผู้พิการอีกคนที่ขาขาดถึงสะโพกจากการหลุดเข้าไปในเครื่องสีข้าว ท้อแท้ แต่ก็ลุกขึ้นสู้จนเป็นกำลังหลักของครอบครัว ทำนาได้ด้วยตัวเองเกือบทุกขั้นตอน ตลอดจนนำวัวขึ้นไปเลี้ยงบนภูเขาได้สบายด้วยการใช้ไม้เท้าค้ำยัน
สองเรื่องราวชีวิตสิ้นหวังถดถอยค่อยๆ กลับมาเข้มแข็งเป็นที่พึ่งทั้งกับตนเองและครอบครัวนี้มีที่มาจากการทำงานด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของพรพรรณ ชัยมงคล พยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว โรงพยาบาลอุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ที่ลงพื้นที่ทำงานบนฐานข้อมูลผู้พิการในชุมชนที่ว่างเปล่าทั้งด้านจำนวน บุคคล และชีวิตความเป็นอยู่
"ข้อมูลจำกัด เราจึงวางแผนการทำงานเป็นสามขั้นตอน หนึ่งสำรวจค้นหาผู้พิการในทุกตำบลจนพบภาพรวมว่าส่วนใหญ่เป็นความพิการจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่พิการแต่กำเนิด และมากกว่าครึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว แขนขาของครอบครัว แต่เมื่อพิการ จำนวนมากกว่าครึ่งนั้นกลับอยู่เฉยๆ ไม่ทำมาหากิน ทั้งๆ ที่พวกเขามีศักยภาพที่จะไม่ต้องตกเป็นภาระครอบครัวหรือชุมชนได้ จึงนำมาสู่ขั้นตอนที่สอง จัดกิจกรรมฟื้นฟูสุขภาพผู้พิการให้กลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ ตามมาด้วยสาม พัฒนาศักยภาพผู้พิการที่มีความสามารถและมีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอื่นเพื่อเป็นแบบอย่างดีๆ ที่น่าเชิดชู"
พรพรรณเผยกลยุทธ์การทำงานที่สร้างต้นแบบผู้พิการที่ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชะตากรรมขึ้นในชุมชน จนสามารถแผ้วถางทางให้ผู้พิการที่ท้อถอยกลับมาก้าวย่างทางชีวิตอีกครา
ด้วยว่าประสบการณ์ของผู้อยู่ในสถานภาพด้อยโอกาสอย่างเดียวกัน ย่อมรังสรรค์บทเรียนชีวิตต้องสู้ดีกว่าการเอ่ยถ้อยคำปลอบโยนใดๆ ของผู้สมบูรณ์พร้อม
"ภาพผู้พิการแขนขาดกับผู้พิการขาขาดกอดคอกันถ่ายรูปน่าประทับใจมาก กิจกรรมที่เราพาผู้พิการขาขาดไปดูงานผู้พิการแขนขาดก็เพราะอยากให้เขามีกำลังใจ และคิดว่าวิบากกรรมที่ประสบอยู่นั้นไม่จำเป็นต้องยาวนานตลอดชีวิต มีคนที่มีสภาพเหมือนเขาแต่ฟื้นฟูตัวเองได้ วันที่เราพาผู้พิการขาขาดไปพูดคุยกับพ่อคำฟองที่พิการแขนขาด พวกเขาก็นั่งคุยกันเหมือนคนสนิทสนมรู้จักกันนับสิบๆ ปี พ่อคำฟองพาไปดูที่นาตัวเองแล้วเล่าว่า จุดเริ่มต้นก็ท้อแท้ไม่ต่างกัน หลังจากนั้นก็ให้คำมั่นสัญญาระหว่างกันว่าจะทำให้ได้เหมือนกัน ก่อนกลับพ่อคำฟองยังให้ข้าวสารสองกระสอบไปกินที่บ้านด้วย"
ความประทับใจใช่ปรากฏแค่วาจา ทว่ายังฉายชัดในสายตาพรพรรณขณะเล่าเรื่องราวด้วย
การงานทำด้วยหัวใจกรุณาเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพิ่มพลังใจให้ผู้พิการจากการสร้างสรรค์สายสัมพันธ์ระหว่างผู้พิการที่ส่วนมากมักกีดกันเก็บตัวจากสังคมจนสำเร็จเท่านั้น ทว่าสายใยรักของสมาชิกครอบครัวที่เคยขาดผึงก็กลับมาถักถ้อยร้อยรัดจนเหนียวแน่น เฉกเช่นกรณีที่แม่แก่ชราป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่นอนอยู่บ้านเดียวดาย เพราะลูกทั้งสามคนต้องออกไปทำมาหากินแต่เช้ากลับก็พลบค่ำไปแล้ว
"ลูกๆ ไปรับจ้างแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำ ไม่ได้ดูแลแม่ แม่ต้องอยู่คนเดียว มีเพียงอาหารวางไว้ให้แม่ตักกินเอง และใส่ผ้าอนามัยผู้ใหญ่ไว้ให้ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาก็ไม่เคยได้รับการฟื้นฟูเลย เราก็เข้าไปเป็นตัวเชื่อมให้ลูกๆ ได้ผัดเวลากันกลับมาดูแลแม่ มานวด มากระตุ้น มาทำกายภาพบำบัด โดยมีนักกายภาพบำบัดมาสอนวิธีให้ จนพวกเขาทำได้ดี จากเดิมกลัวแม่จะเจ็บและเป็นหนักขึ้น"
จุดเปลี่ยนในครอบครัวผู้พิการมาจากการตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด ได้ผลดีที่สุด ถึงจะมีอุปสรรคขวากหนามก็พยายามหาทางหักลิดรอนเสียด้วยการสะท้อนปัญหา และระดมความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงการปรึกษาผู้บริหารอยู่เสมอของพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว ที่เริ่มต้นทำงานกับโรงพยาบาลอุบลรัตน์นับแต่แรกเรียนจบปี 2530 จวบจนถึงปัจจุบันนี้ กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอุบลรัตน์ไปในที่สุดแม้นไม่ได้เกิดที่นี่
"การทำงานกับผู้พิการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง ผนวกกับพื้นฐานครอบครัวที่มีพ่อขยันและอดทนมาก สอนให้ลูกๆ ติดดิน จนเราสามารถทำนา ไถนา คราดนา หว่านข้าว เกี่ยวข้าวได้ตั้งแต่ 7 ขวบ ขณะแม่ถึงจะเป็นคุณแม่อาสาทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสบาย แต่ก็ให้ลูกเรียนรู้ร่วมด้วยเสมอ ส่วนลูกๆ ก็ได้ตักบาตรทุกวัน ถึงวันพระก็ถือปิ่นโตไปวัด ถูกเพาะบ่มมาโดยใช้หลักธรรม"
นอกจากสองจุดเปลี่ยนในครอบครัวผู้พิการและภายในจิตใจตัวเธอเองแล้ว การตั้งปณิธานทำสิ่งดีๆ ให้กับคนทุกข์ยากเจ็บไข้ได้ป่วย โดยใช้วิชาชีพพยาบาลบำบัดรักษาก็นำจุดเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กรด้วยเฉกเช่นเดียวกัน เพราะบทบาทหน้าที่หนึ่งของเธอ คือการเป็นทีมวิทยากรที่ทุ่มเททำงานเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของประชาชนและเจ้าหน้าที่
"เดิมทำงานชุมชน ก็พยายามดึงรูปแบบงานชุมชนเข้ามาทำในโรงพยาบาล จัดตั้งกลุ่มชุมชนที่มีเจ้าหน้าที่ที่มีจิตอาสาหลายฝ่ายมาร่วมกันเกือบ 20 คน ทำให้เวลาลงพื้นที่ไม่โดดเดี่ยว ทั้งยังเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ที่ชอบบ่นคนไข้ว่า ทำไมมาเร็วนักช้านัก ก็ได้เรียนรู้หลังลงพื้นที่ว่ากว่าคนไข้จะมาโรงพยาบาลนั้นพวกเขาต้องตัดสินใจ เตรียมการมากมาย ไม่ใช่นึกจะมาก็มาเลย หลังจากนั้นก็นำปัญหาและความภาคภูมิใจมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันด้วย โดยโรงพยาบาลเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ทุกคนลงชุมชนได้ด้วย"
ความภาคภูมิใจที่ได้เห็นคนไข้เปลี่ยนจากทุกข์มีสุขเช่นนี้ นอกจากกล่อมเกลาจิตใจให้มีแต่ความกรุณาแล้ว ยังสร้างเสริมความเชื่อมั่นคนทำงานด้วยว่าได้ทำบทบาทหน้าที่ดีที่สุดแล้ว จากการให้ที่ผู้อื่นรับ "ไม้ต่อตั้งต้น" นี้ไปสรรค์สร้างทีมงานได้ ไม่ต่างจากวัตรปฏิบัติปราชญ์ชาวบ้านที่พรพรรณศรัทธาใกล้ชิด ทีแรกมักถูกมองเป็น "ผีบ้า" เพราะใช้ชีวิตไม่เหมือนคนอื่นที่ตกใต้วัฒนธรรมทุนนิยม ทว่าเมื่อเวลาผันผ่านก็มีคนก้าวย่างทางที่พวกเขาฝากรอยเท้าไว้มากมาย เพราะตระหนักว่าความสุขแท้จริงจักต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงโลภกอบโกยเป็นพอเพียงพออยู่พอกิน.
ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ
แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
http://www.thaipost.net/tabloid/140609/6183
What can you do with the new Windows Live?
Find out