ภาวะ "สื่อท่วมหัว" ข้อเท็จจริงที่ไม่รู้จะเชื่อใคร โดย : ทีมงาน ThaiNGO เมื่อ : 29/04/2009 12:25 PM |
วงเสวนา "สื่อท่วมหัวเอาตัวให้รอด" เป็นวงหนึ่ง ที่ตั้งคำถามว่า สื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพข่าวให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่? แล้วคนเสพสื่อควรที่จะอยู่อย่างไรท่ามกลางกระแสสื่อที่โหมเข้ามาหลายๆ ด้านโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือการตีความของคนผลิตสื่อ ทำอย่างไรจะรู้ว่าความจริงในข่าวมีมากน้อยแค่ไหนมากน้อยแค่ไหน จะเอาตัวรอดจากความจริงที่หลากหลายได้อย่างไรแล้วสื่อจะรับผิดชอบอย่างไรกับสื่อที่ออกสู่สาธารณะและคนเสพสื่อ "มนุษยชาติมีองค์ความรู้ว่า การมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ ที่จะพูดอะไรอย่างไร แค่ไหนที่ไม่ใช่การปลุกระดม ปัญหาคือความจริงคืออะไรมันเป็นปัญหาทางปรัชญาที่ถกเถียงกันมาก มันยากที่จะบอกว่ามันคืออะไร พอเราคิดเราจะเห็นความจริงอีกแบบหนึ่ง ความจริงมันเลื่อนไหลง่ายมากอยู่ที่ว่าใครจะมีอำนาจว่าอะไรคือความจริง คนที่ผิดจากความจริงก็คืออาชญากร ปัญหาคือใครล่ะเป็นคนกำหนดความจริง พวกเราไม่ได้ถูกบังคบให้เชื่ออีกแล้วเมื่อเราได้เห็นมากๆมันก็เกิดการสับสนไม่มีที่ยึดเหนี่ยวแล้วก็จะอ้างว้าง มันก็จะเกิดความจริงในใจเรา การปะทะกันหลายอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่มันเกิดเพราะสื่อ สื่อได้ทำความเข้าใจไหมว่าจริงแล้วตนเองก็มีส่วนสร้างความรุนแรงด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นสิ่งว่าจรรยาบรรณแล้วในฐานะสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นแขนงต่างๆ แล้ว ความเป็นกลางยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งว่ามันอยู่ตรงไหนอย่างไร แล้วในสถานการณ์ที่ไม่รู้ใครเป็นใคร การวัดมาตรฐานความเป็นกลางจึงถูกตั้งคำถามขึ้นมาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าหากไร้ซึ่งความเป็นกลางแบบมาตรฐานเดียวสื่อก็ไม่ต่างอะไรกันสิ่งที่ยั่วยุเสี้ยมคนในสังคมให้ปะทะกัน "ในช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนที่เปิดทีวีดูก็อาจจะคาดหวังว่าจะมองดูได้อย่างรอบด้าน เป็นพื้นที่ของคนทุกกลุ่มหรือไม่ ดังนั้นเมื่อไม่ใช้พื้นที่ของคนทุกกลุ่มคนที่ดูจึงค่อนข้างที่จะผิดหวังกับทีวี ภาพข่าวซ้ำๆ และเนื้อหา สกู๊ปที่มันแตกต่างก็ไม่มี สื่อเหมือนปลาที่มองไม่เห็นน้ำเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็อยากไปทำ โดยไม่ได้ดูว่าช่องต่างๆ ก็คล้ายๆ กันไม่มีความหลากหลาย สื่อไม่มีประเด็นท้าทาย ประเด็นที่แปลกออกไปก็ไม่มีโอกาสนำเสนอ เมื่อเราเสพสื่อมากๆ ไม่ว่าโง่หรือฉลาดสุดท้ายมันทำให้เราเกิดอารมณ์บางอย่างขึ้น บางครั้งทำให้เราฉุกคิดว่าจะเลิกรับสื่อไม่ว่าจะเป็นกลางหรือไม่ หรือสุดท้ายคนเราก็ต้องกลับมามองที่หัวใจเหมือนเดิม มากกว่ามองที่ตัวสถานการณ์ความขัดแย้งที่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปสู่ความขัดแย้งตรงนั้น โดยไม่กลับมาดูว่าท้ายที่สุดแล้ว การกลับมามีความสัมพันธ์เบื้องต้นที่เราต้องการคือใส่ใจดูแลกัน "ตอนนี้อยู่ในวิกฤติจริงๆ เลย และไม่มีคำตอบว่าจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำตอบอย่างที่ว่าก็กลายเป็นจินตนาการไป ซึ่งวิธีเดียวที่เห็นว่าเป็นทางออกที่สุดคือ สื่อมันเชื่อถือไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นสื่อชาวบ้านหรือสื่อรัฐ แต่มันยังมีศาสนาของแต่ละประชาชนที่ยังน่าจะใช้ประโยชน์ให้ได้มาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระไพศาลมาออกทีวีมาพูดถึงศาสนาที่ถูกต้องเข้มแข็ง เพราะสื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนามักเชื่อได้มากกว่าคือไม่พูดถึงรายละเอียด ณ เวลานั้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มันมีจุดจุดเชื่อมโยงเยอะแยะไปหมดเลย แต่พูดถึงหัวหัวใจของศาสนาที่มาอย่างบริสุทธิ์ใจ เราก็จะได้หัวใจแท้ๆของมันที่ขยายมาแก้ปัญหาในเวลาต่อมาได้ แต่ทุกวันนี้เราไม่พยายามแก้ปัญหาที่หัวใจเรามักแก้ปัญหาที่รายละเอียด ซึ่งผมว่ามันซับซ้อนเกินมันยุ่งยากเกิน" มาโนช พุฒตาล นักจัดรายการวิทยุและศิลปิน กล่าวเพิ่มเติม "คนเรามันต้องมีสามัญสำนึก สามัญคือธรรมดาสำนึกคือนึก นึกแบบธรรมดาๆ ที่ปถุชนพึงเป็น สามัญสำนึกน่าจะช่วยได้เยอะในการที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางแย่งชิงพื้นที่สื่อหรือนักการเมือง แต่ทีนี้มันก็มีปัญหาว่าเราจะเอาสามัญสำนึกที่มันเหมาะสมมาจากไหน ต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงไป ใช้ต้นทุนเดิมคือสามัญสำนึกช่วยกล่อมเกลาให้ตนเองเข้าใกล้ความถูกต้องเหมาะสม เพราะบางครั้งบางที่ความจริงก็เป็นสิ่งอันตราย สื่อมันยกฐานะจนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เราพยายามอยู่ห่างจากมันนิดหนึ่งก็ได้ เราใช้ชีวิตแบบประชดประชันกันมากเกินไปคือเวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา หลายครั้งเรามักจะประชดประชัน ปัญหาเรื่องสื่อมันยังพอแก้ไขได้ คือคนที่ทำข่าวต้องมีความเข้าใจจริงๆในแต่ละเรื่องที่ตัวเองต้องนำเสนอไม่ใช่ บก.สั่งแล้วก็จบ นักข่าวไม่ได้ลงลึกถึงขนาดนั้นมันจึงเป็นปัญหา นักข่าวจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีภูมิว่าปัญหาทางการเมืองมันคืออะไร หรือปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยมันเกิดจากอะไร แค่เสนอว่าเกิดอะไรมันไม่พอถ้ารู้แค่นั้นคนรับตกเป็นเหยื่อเลย เพราะกำลังจะสร้างว่าอะไรจะเป็นข่าว แต่ถ้านักข่าวมีความรู้ลึกซึ้งมีพื้นฐาน อันนี้มันน่าจะช่วยสังคมได้เยอะ แต่กลับเน้นที่ใครออกก่อนยิ่งเร็วมันก็ยิ่งพลาด" มาโนช พุฒตาล กล่าวย้ำ "เราเรียนรู้ได้ที่จะอยู่กับความกดดันอย่างไรและเราจะผ่อนคลายมันอย่างไร เมื่อเข้าใจเราจะเห็นความจริงมากขึ้น ความจริงจะยกระดับมากขึ้นยิ่งจริงกว่าๆ จนวันหนึ่งจะพบว่าไม่มีอะไรจริงเลย มันก็จะหายเครียด ไม่จำเป็นต้องหนีการเรียนรู้แต่เห็นด้วยว่าควรต้องพักแล้วค่อยมารับรู้เพื่อการมีสติมากขึ้น เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เครียดได้มันจะทำให้เรารับได้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้" ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข กล่าวเสริม สิ่งหนึ่งที่เราควรจะมีคือสติในการไตร่ตรองให้รอบคอบ ทั้งคนที่เป็นสื่อและผู้รับสื่อ ในการนำเสนอเรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และรับฟังหลายด้านแล้วจะเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ต้องดูหลากหลายฝั่งมันจะช่วยบอกเราว่าระหว่างบรรทัดความจริงมันอยู่ตรงไหน มันอาจไม่มีความจริงมากหรือแม้แต่สื่อโกหกทุกเรื่องมันก็มีความจริงอยู่ในนั้น
29 เุ์มษายน 2552 |
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น