
ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!
ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น “ช็อกโกแลต ซีสต์” ได้!
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์
ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน
แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่” (Endometriosis)
“มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก”
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้
เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน
พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง
กรณีถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง
ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง
นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า “สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น”
ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน
เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.
"หัวเราะ" ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค
เสียงหัวเราะขำขันที่เราได้ยินกันนั้นแสดงถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน แต่ท่านทราบหรือ ไม่ว่า การหัวเราะนอกจากจะ ทำให้สุขภาพจิตได้ผ่อนคลายแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมหาศาลทีเดียว...
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า การหัวเราะบำบัดในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ หัวเราะแบบธรรมชาติมาจากใจ ซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขันอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และ หัวเราะเพื่อการบำบัดรักษา ซึ่งการหัวเราะทั้ง 2 รูปแบบล้วนมีประโยชน์ คือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภทปลุกเร้าเพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบหายใจ ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญของออกซิเจน ระบบขับถ่าย ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อบนใบหน้า ระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ผิวพรรณดี เป็นต้น
จากผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การหัวเราะขำขันจากความรู้สึกลึก ๆ จากภายในอย่าง แท้จริง โดยไม่เสแสร้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ออกมาส่งผลดีต่อระบบร่างกายในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด (กรณีคนไข้ที่เป็นเบาหวาน) ทำให้ระบบคุ้มกันทำงานดีขึ้น มีประสิทธิภาพ นอนหลับสบาย คลายความวิตกกังวล
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยพบอีกว่า การหัวเราะบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้โดยไม่ต้อง อดอาหาร เพราะการหัวเราะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาเราหัวเราะมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงาน อย่างเต็มที่จนบางครั้งเกิดอาการเจ็บหน้าท้องหรือที่เราเรียกกันว่า ท้องแข็ง จึงถือเป็นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่ซึมซับความเครียดของ ผู้ใหญ่และไม่สามารถระบายออกได้ จึงควรกระตุ้นให้เด็กได้หัวเราะบ่อย ๆ เพราะการหัวเราะจะทำให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้เด็ก ๆ มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีอีกด้วย
ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็ก ๆ ถ้าหัวเราะ 400 ครั้งต่อวัน จะยิ่งดีมาก ๆ สำหรับที่มาของอารมณ์ขันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง คุณหมอ แนะนำว่า เพียงแค่เราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเป็นความน่ารักของธรรมชาติที่จะทำให้เรารู้สึกขำตัวเองว่าหัวเราะทำไม วิธีนี้จะช่วยให้เกิดอารมณ์ขันอย่างแท้จริงได้เช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าการหัวเราะจะมีประโยชน์มากมายเช่นนี้ใช่ไหมคะ...การที่เรามีสุขภาพจิตดีจะช่วยนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา แถมใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ถือเป็นการสร้างเสน่ห์ไปในตัว.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=4447
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น