Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 |
พลันที่เสียงหัวเราะปนความรู้สึกตื่นเต้นจากประสบการณ์ใหม่ๆได้เริ่มขึ้น ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานอารมณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปคนละขั้ว
"ที่ว่าตื่นเต้น สนุกสนานในตอนแรก ไปๆมาๆชักจะไม่แล้ว พอได้ลองเรารู้ก็เลยรู้ว่ามันลำบากมาก กะอีแค่ร่องน้ำเล็กๆยังบังคับรถเข็นให้ข้ามไปไม่ได้" 'ดอย' สักก์สีห์ พลสันติกุล อดีตประธานชมรมเพื่อนผู้พิการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บัณฑิตจากคณะวิจิตรศิลป์ เล่าถึงกิจกรรมจำลองความพิการ หนึ่งในโครงการ 'ค่ายพิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน' ที่ทางเครือข่ายพุทธิกาจัดขึ้น
นอกจากการปิดตา ผูกขา ปล่อยผู้ร่วมกิจกรรมเข็นรถวีลแชร์ซื้อของในตลาดตามกติกาแล้ว การมีพี่เลี้ยงผู้พิการพูดคุยตลอดเวลาที่ถูกปิดตา ยิ่งทำให้รู้ถึงหัวอกของผู้พิการมากขึ้น
"มันทำให้รู้เลยว่าสังคมเราไมได้ออกแบบอะไรให้แก่กลุ่มคนพิการ"เขาบอกและอธิบายว่านี่จึงเป็นที่มาของกิจกรรมที่เขาได้เริ่มขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีเพื่อนๆต่างคณะ และกลุ่มผู้พิการในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมด้วยอย่างคับคั่ง อบอุ่น เป็นกันเอ"โครงการค่ายเพื่อนผู้พิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกันคือการละลายกำแพงความไม่เข้าใจเรื่องความพิการ
นำไปสู่การเปลี่ยนทัศนคติ ด้วยกระบวนการที่หลากหลายให้ได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนกัน ทั้งด้านศิลปะ กฎหมาย การจำลองสถานการณ์ความพิการ ฝึกดูแลผู้พิการ กิจกรรมสันทนาการ การล้อมวงสนทนา" ดอยให้นิยาม
แม้จะล่วงเลยมาพอสมควรแต่เขายังจำความรู้สึกและสายตาที่คนทั่วไปมองมาได้เป็นอย่างดีดอยบอกว่า ขณะที่จำลองเป็นคนพิการนั้น แต่ละสายตาที่มองมาจากบนแผงขายของ เป็นสายตาของความสงสาร แม่ค้าบางคนถึงขนาดจะไม่รับเงิน เช่นเดียวกับแม่ค้าบางรายที่ตัดพ้อโชคชะตาแทนด้วยว่า "ยังหนุ่มอยู่ ไม่น่าพิการเลย" ดังนั้นสิ่งสำคัญของค่ายฯคือการทลายมุมมองผิดๆที่มีต่อคนพิการทิ้ง
ในห้วงเวลาที่สังคมจัดกลุ่มคนพิการให้เป็นเพียงผู้รับการ'เอื้อเฟื้อ' ไม่ต่างจากคนชราและเด็ก นาวาอากาศโทภราดร คุ้มทรัพย์ หัวหน้าสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบิน4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หนึ่งในวิทยากรผู้ร่วมอบรม และเป็นหนึ่งในผู้พิการทางร่างกาย มองสถานการณ์เช่นนี้ว่า เป็นอุปสรรคที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก ทั้งยังขวางกั้นทัศนคติที่สังคมควรจะมีต่อคนพิการเป็นอย่างยิ่ง
"อย่ามองคนพิการเพียงเพื่อสงสาร แต่เราต้องปลูกฝังให้เยาวชนมองไปถึงปัญหาที่ลึกลงกว่านั้น ทำอย่างไรให้สังคมเข้าใจถึงหลักการออกแบบสังคมเพื่อคนทั้งมวลในทุกๆเรื่อง" ผู้พันภราดรสะท้อนปัญหา
เขา อธิบายต่อว่า การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล มิได้หมายถึงเพียงการออกแบบในเชิงศิลปะ อาคาร บ้านเรือนให้เหมาะสมกับคนทุกกลุ่มอันรวมถึงกลุ่มคนพิการด้วยเท่านั้น แต่เป็นการสร้างสังคมให้เข้าใจคนพิการจริงๆ นำไปสู่การสร้างกระบวนการอื่นๆที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้มีที่ยืนอยู่ในสังคมเฉกเช่นคนปกติ
"ค่ายฯนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างกระบวนการเหล่านั้น ยกตัวอย่างว่าเยาวชนที่มาเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ มีความสามารถและถนัดในการเรียนต่างกัน หากหลังจากที่ผ่านกิจกรรม เขาได้เปลี่ยนทัศนคติ เมื่ออกไปทำงานจะสามารถนำไปประยุกต์กับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เช่น คนที่เรียน สถาปัตย์ฯ ต่อไปเขาจะรู้จักการออกแบบที่เอื้อต่อคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เน้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว เขาจะรู้ว่าการออกแบบให้มีทางลาดสำหรับใช้เข็นรถวีลแชร์ขึ้นอาคารนั้นมันสำคัญไม่แพ้ความสวยงามของขั้นบันได คนเรียนหมอก็จะไม่ใช่เพียงแค่การรักษาให้หายจากโรคเท่านั้น แต่จะเข้าใจถึงการส่งต่อคนไข้คืนชุมชน ที่สำคัญยิ่งกว่าเพราะเป็นสถานที่ที่คนไข้ต้องอยู่ไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับการประยุกต์ในด้านอื่นเช่นสื่อ กฎหมาย ฯลฯที่ต้องเอื้อให้แก่คนทุกกลุ่ม"น.ท.ภราดรขยายความ
หรืออย่างที่'เต๋า'บุญฑริก นิยติวัฒน์ชาญชัย นักศึกษาชั้นปีที่5 คณะทันตแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ หนึ่งในผู้ร่วมค่ายฯ ที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหลังผ่านกิจกรรมว่า มีมุมมองต่อคนพิการที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เขายกตัวอย่างง่ายๆ ว่า จากที่เคยรู้สึกเกร็งกับคนไข้ที่พิการ ไม่กล้าทำงานได้อย่างเต็มที่ กลัวทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ถึงเวลานี้ความรู้สึกดังกล่าวหายไปอย่าสินเชิง
"คนพิการก็เหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย เขาทำได้ เหมือนคนทั่วไป แต่สังคมต้องให้โอกาสพิสูจน์" ว่าที่หมอฟันหนุ่มเล่าถึงผลผลิตที่จับต้องได้ในตัวเอง
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี กรรมการบริหารแผน(คณะ6) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ผู้สนับสนุนโครงการกล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า หากเชื่อมโยง'คนพิการ' กับ'คนปกติ ได้อย่างเข้าใจจริงๆ กิจกรรมนี้มาถูกทางแล้ว จากนี้ไปทุกคนในสังคมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทัศนคติของเราที่มีต่อคนกลุ่มต่างๆที่อยู่ร่วมกันเหมาะสมหรือไม่
"นอกจากกิจกรรมจำลองสถานการณ์ความพิการ ค่ายฯ ยังบรรจุไปด้วยหลายรูปแบบของการเรียนรู้ อาทิ กิจกรรมการศึกษาชีวิต เรียนรู้สุขภาพองค์รวมเพื่อปรับทัศนคติให้รู้ว่าการมีสุขภาพดีไม่ได้จำกัดอยู่ที่ร่างกายเพียงอย่างเดียว กิจกรรมการรับรู้ความเป็นมนุษย์และคุณค่าของการดำเนินชีวิต โดยเน้นให้ผู้ร่วมรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจของมนุษย์ที่มีค่าสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด"เขาบอกถึงรายละเอียดประเด็นสำคัญที่จะสื่อสารในค่ายฯนี้และกิจกรรมอื่นๆอีกต่อไป
"หนทางยังอีกไกล จุดนี้เสมือนเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น กิจกรรมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองให้เหมาะสมในเรื่องต่างๆ จำเป็นจะต้องมีต่อ"รศ.นพ.กำจร ยืนยัน
ส่วน'ดอย'สรุปบทเรียนที่ได้รับจากค่ายนี้ว่า อย่างน้อยที่สุดความคิดเรื่องการสนับสนุนสงเคราะห์คนพิการของเขาได้หมดไป ซึ่งหากสังคมคิดได้เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่มีคนพิการที่เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป คงเหลือแต่ผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ที่มีอิสระในการดำรงชีวิต สามารถแสดงศักยภาพในเรื่องต่างๆเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพราะแท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่เคยมีคนพิการจริงๆเลยสักคน
http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=54479
Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น