การปฏิรูปการเมืองไทย
โดย สวัสดิ์ นิเทศวรวิทย์ สถาบันพัฒนาความมั่นคงมนุษย์
![]() |
มีคำถามว่า แล้วจะพัฒนาการเมืองไทยอย่างไร หรือเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นประเด็นสำคัญ?
ในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย ที่อยู่ในระบอบนี้มาเจ็ดสิบกว่าปีตามอายุขัยที่มี ผู้เขียนพบว่า สิ่งที่เป็นปัญหาในระบอบประชาธิปไตยไทย และทำให้การเมืองไม่ก้าวหน้า ประเทศล้าหลังก็คือ นักการเมือง เป็นเรื่องแรกๆ ที่จะต้องพัฒนา
จะพบว่า นักการเมืองไทยที่อยู่ในแวดวงการเมืองในปัจจุบันนี้ มักจะเป็นดังนี้เป็นส่วนใหญ่ คือ
1.นักการเมืองเข้ามาสู่การเมืองด้วยการเล่นการเมือง
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะนักการเมืองไทยที่มาเป็นนักการเมืองส่วนมากจะทำการเมืองแบบเล่นๆ คือทำเหมือนการเล่นหวย เล่นการพนัน เล่นกีฬา หรือเล่นละคร อะไรพวกนั้นแหละ
เมื่อพวกเขาตั้งใจจะมาเล่นการเมือง ก็เลยมาเล่นตามแบบอย่างดังเรื่องที่กล่าวมา และพัฒนาการเล่นมาเป็นอาชีพ เหมือนนักฟุตบอลอาชีพ หรือนักกีฬาอาชีพ
จนท้ายที่สุดได้กลายมาเป็น ธุรกิจการเมือง จนฮิตติดชาร์ตในเวลานี้
การประกอบธุรกิจการเมือง เลยทำให้นักการเมืองร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองมากมาย รวมทั้งที่ดินไร่นา รถยนต์ มากมายหลายอย่างจนระดับเศรษฐีกันทั้งนั้น
ไม่เชื่อก็ลองไปดูบัญชีการแสดงทรัพย์ทุกครั้งของนักการเมืองที่นำเสนอรายการทางสื่อมวลชน ได้ดูเป็นขวัญตา
ถามว่าคนเหล่านี้ร่ำรวยมาก่อนที่จะมาเป็นนักการเมืองใช่หรือไม่ คำตอบก็คืออาจจะใช่เป็นบางคน แต่ถามว่า ร่ำรวยแล้วจะมาทำประโยชน์แก่ประชาชนหรือไม่โกงไม่กินต่อไปใช่หรือไม่ ก็ไม่แน่ใจ เพราะมีตัวอย่างมาให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
2.นักการเมืองไทยส่วนใหญ่เข้าสู่การเมืองโดยตั้งใจมาแสวงหาโอกาสและแสวงหาอำนาจมากกว่าที่จะมาอาสาทำงานด้านการเมืองเพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ
เราจะพบว่า นักการเมืองที่เข้ามาสู่ระบบนานๆ หรือหลายสมัย แทบที่จะเป็นคนที่เชี่ยวชาญในวิชาชีพหรืองานที่ทำ เป็นผู้ที่ทรงภูมิปัญญามีคุณค่าต่อประเทศชาติ กลับเป็นคนที่ไม่มีการพัฒนาตนเองให้ไปในทางนั้น
ยกตัวอย่างเช่น คนที่เป็น ส.ส.มานาน แทนที่จะพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็น วุฒิสมาชิกผู้ทรงคุณค่าทางการเมือง เป็นผู้นำ หรือเป็นเสาหลักทางการเมือง
แต่กลับตรงกันข้าม
เพราะวุฒิสมาชิกเมืองไทยนั้น พอเลือกตั้งขึ้นมา กลายเป็นเมีย ส.ส.หรือสามี ส.ส. ญาติพี่น้องหรือลูกหลาน ส.ส.ที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองก็มี
หรือแม้จะเป็นอดีต ส.ส.ก็ไม่ได้มีคุณภาพดีไปกว่าการเป็น ส.ส.ธรรมดา
ร้ายไปกว่านั้นก็คือ พอลูกเลือกขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลายเป็นคนที่ประชาชนและสื่อมวลชนต่างๆ มองว่าเป็น รัฐมนตรียี้ รัฐมนตรีด้อยประสบการณ์ รัฐมนตรีปลากระป๋องเน่า ก็เพราะขาดประสบการณ์และไม่มีความรู้เชิงบริหารรัฐกิจ ไม่มีวิสัยทัศน์ กลายเป็นรัฐมนตรีแบบโควต้า รัฐมนตรีบุญหล่นทับเพื่อเป็นเกียรติประวัติแห่งวงศ์ตระกูลทั้งด้านดีและด้านไม่ดีไป
ภาพนักการเมืองเช่นนี้ กลายเป็นภาพนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพ ไม่น่าเคารพนับถือ ไม่น่าเชื่อถือของสังคม จนกลายเป็นตัวตลกเอาไว้ล้อเลียนของสื่อมวลชนหรือประชาชนเสมอมา
จนเป็นสาเหตุให้ คนดีหนีการเมือง
เพราะเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรก เรื่องของกลุ่มคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเป็นหลุมน้ำโคลนที่ไม่น่าจะเข้าไปใกล้ให้แปดเปื้อนตัว
ซึ่งสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตยโดยรวม
ดังนั้นแนวทางที่จะพัฒนาประชาธิปไตยไทยก็จะต้องเริ่มต้นแก้ที่นักการเมืองเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะแก้จุดอื่นๆ
ผู้เขียนมองว่า
การจะพัฒนานักการเมืองนั้น มีอยู่ 2 ทางใหญ่ๆ คือ
ทางที่หนึ่ง พยายามปิดกั้นคนไม่ดีเข้าสู่การเมือง และหาทางส่งเสริมคนดีเข้ามาทำงานการเมือง
แต่ทางนี้จะถูกต่อต้านจากนักการเมืองเก่าที่มีอยู่อย่างมาก เพราะพวกเขาจะเสียผลประโยชน์และเสียอำนาจ ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญมีการให้มีการเว้นวรรคเมื่อถูกจับได้ไล่ทันว่าโกงการเลือกตั้ง
นักการเมืองที่เป็นกรรมการบริหารพรรคก็มักออกมาต่อต้านคัดค้าน แถมยังเห็นว่ากรรมการบริหารพรคเหล่านี้เป็นคนดี เป็นคนชั้นหัวกะทิของพรรคทั้งๆ ที่เป็นหัวกะทิในทางไม่ดี ไม่เอาไหน แม้แต่การบริหารพรรคให้ดีก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะมาบริหารชาติบ้านเมืองได้อย่างไร
แถมยังพาลไปหาเรื่องกับองค์กรอิสระ ไม่ว่าเป็น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างที่เป็นในทุกวันนี้ จะมีขบวนการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
นักการเมืองเช่นนี้ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่ ถูกเว้นวรรคแล้วจะเกิดความสำนึกแล้วกลับไปพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น หรือไปศึกษาต่อ หรือไปเปลี่ยนแนวคิดใหม่
แนวทางที่สองที่จะทำได้ก็คือ ให้การศึกษาและพัฒนานักการเมืองรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบ
ผู้เขียนเคยเข้าไปสัมผัสโดยการเข้าร่วมประชุมสัมมนากับนักการเมือง พบว่า นักการเมืองส่วนมากเป็นคนที่พัฒนาค่อนข้างยาก อันเนื่องมาจากเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เพราะการได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่ว่าจะเป็นครั้งแรก หรือหลายๆ ครั้งติดต่อกัน แสดงว่าตนเองมีความสามารถมีความรู้ มีศักยภาพสูง
ซึ่งบางทีบางครั้งอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ได้
สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนม่านที่บังตา อาจทำให้ไม่มองเห็นตัวตนที่เป็นมุมมองจากคนอื่นหรือบุคคลภายนอก จนบางครั้งนอกจากจะไม่เชื่อแล้วยังหาเรื่องว่า
ถ้าเอ็งแน่จริงมาลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งกับข้าสิ
เพราะมองว่านักวิชาการที่บ้าหลักวิชาการ แต่ปฏิบัติไม่ได้ หรือบนหอคอยงาช้างเข้าไปโน่น
การไม่ยอมรับวิชาการใหม่ๆ ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่นก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่รับข้อมูลภายนอก เลยทำให้นักการเมืองที่ยิ่งอยู่นานก็จะมีวิสัยทัศน์แคบหรือคิดแบบเก่าๆ เข้าข้างตัวเอง
การพัฒนาการเมืองของไทย นอกจากจะพัฒนานักการเมืองดังกล่าวแล้วก็จะต้องพัฒนาระบบการเมืองไปพร้อมๆ กันด้วย
ระบบการเมืองที่ว่าก็คือ ระบบการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งคนดีมีฝีมือ มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
สิ่งเหล่านี้ก็มาตรฐานทางวิชาชีพ ที่ถือเป็นคุณสมบัติทางจริยธรรมมากกว่าความรู้ความสามารถที่จะเป็นตัวแทนของปวงชน
แม้จะมีการตั้งองค์กรอิสระเข้ามาทำหน้าที่แต่ก็ยังไม่เพียงพอ อาจจะต้องมีองค์กรภาคประชาชนที่สามารถควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ดีของนักการเมืองเหล่านั้นด้วย
ตัวอย่างเช่น ส.ส.ที่ไม่เข้าประชุมสภา ส.ส.ที่แสวงหาผลประโยชน์จากธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นอาทิ
ไม่น่าเชื่อว่า มี ส.ส.บางคน ตั้งแต่เป็น ส.ส.มายังไม่เคยลุกขึ้นอภิปรายในสภา หรือมีการยื่นกระทู้ถามเรื่องสำคัญๆ หรือไม่เคยนำเสนอ หรือมีส่วนเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเลยก็มี
เรื่องที่สองที่สมควรจะได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับนักการเมืองและระบบการเมืองก็คือ พรรคการเมือง
เราจะพบว่า พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นน่าจะเป็นสถาบันหลักที่จะนำระบบการเมืองการปกครองไปสู่จุดหมายได้ แต่จะพบว่า ระบบพรรคการเมืองไทยนั้นกลับไม่ได้เริ่มต้นอยู่กับอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก
จึงเกิดพรรคการเมืองแบบมีเถ้าแก่ หรือหลงจู้ เป็นเจ้าของพรรคการเมือง แล้วไปไล่ต้อนหรือซื้อตัวนักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่ยังหลอกประชาชนได้เข้ามาเลี้ยงดูในสังกัดโดยจ่ายเป็นรายเดือนบ้าง จ่ายตามงานบ้างอย่างที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว
ดังนั้น การพัฒนานักการเมืองเล่านี้จึงเป็นเรื่องยาก และพรรคการเมืองก็พัฒนายากไปด้วย เพราะขึ้นอยู่กับเจ้าของพรรคตัวจริง แล้วแต่เขาจะบัญชาการหรือชี้นำว่าจะเอาอย่างไร หรือไปทางทิศไหนเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม หากคิดอยากจะพัฒนาพรรคการเมืองอย่างจริงจัง ก็คงจะเริ่มต้นตั้งแต่การขอแสดงความจำนงจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นต้นมาว่า เป็นพรรคการเมืองแล้วจะต้องหาสมาชิกพรรคอย่างไร มีระบบพัฒนานักการเมืองในสังกัดอย่างไร รวมไปถึงอุดมการณ์ของพรรค (ซึ่งทุกพรรคเขียนไว้แล้วเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่เขียนไว้) จะเผยแพร่หรือพัฒนาไปสู่ประชาชนได้อย่างไรด้วย
โดยสรุป การพัฒนาการเมืองการปกครองของไทยนั้น ปัญหาอยู่ที่ คนหรือนักการเมืองเป็นหลักใหญ่
แม้เราจะแก้รัฐธรรมนูญกี่ครั้ง หรือจะปฏิวัติกี่หน หากคนที่เข้ามาหลังการแก้รัฐธรรมนูญหรือหลังการปฏิวัติยังเป็นคนกลุ่มเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น
ที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ ก็เพราะว่า เป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบก็มี เต็มใบก็เคยมี ผสมเผด็จการก็เคยทำ
แต่ไม่ว่าแบบไหน? คนไทยก็รับได้หมด
แม้ทหารจะมีการปฏิวัติ ยึดอำนาจคนก็ยังชื่นชมยินดี มอบดอกไม้ให้
เราเคยพบว่า สมัยที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง จนได้เสียงข้างมากพรรคเดียวและได้เป็นรัฐบาล โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว เราก็เชื่อว่า ประชาธิปไตยไทยจะก้าวพ้นจุดวิกฤต และกำลังจะพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเหมือนอเมริกา เหมือนอังกฤษ
แต่ในที่สดก็กลับมาสู่จุดเดิม คือเป็นรัฐบาลผสมแบบเบี้ยหัวแตก มีรัฐมนตรีแบบโควต้า ส่งใครมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ แล้วมาบริหารประเทศแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันระหว่างพรรคที่ร่วมรัฐบาล
ข้างฝ่ายที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ค้านทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล เพื่อจ้องที่จะให้รัฐบาลล้มให้ได้ โดยการนำเอาเรื่องทุกอย่างที่เห็นเป็นความไม่ดีของคนที่เป็นรัฐมนตรีมาโจมตี
เช่นไปมีกิ๊กมีเมียน้อยซ่อนไว้ที่ไหนก็นำมาประจานให้เสียหาย หรือหมกซ่อนทรัพย์สมบัติไว้อย่างไรก็นำมาเปิดเผยเพื่อให้อยู่ไม่ได้ เพราะนักการเมืองทุกคนรู้เช่นเห็นชาติกันมาโดยตลอด และมีข้อด้อยซ่อนปมไว้จนเป็นที่รู้กันทุกคน
นี่คือสภาพที่เป็นอยู่
ผู้เขียนนำเสนอเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาก็เพื่อจะได้พบกับการพัฒนาการเมืองการปกครองในรูปแบบใหม่ ซึ่งบางทีอาจไม่ต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยก็ได้
เพียงแต่ทุกคนยอมรับกฎกติกา และมีมารยาทตามครรลองที่วางเอาไว้เท่านั้น
คิดดี ทำดีเพื่อชาติกันบ้างเท่านั้นแหละ
เมืองไทยจะเจริญรุ่งกว่านี้อีกหลายสิบเท่า
ไม่เชื่อก็ลองดูได้!
หน้า 7
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02140452§ionid=0130&day=2009-04-14
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น