| วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11391 มติชนรายวัน
กฎหลักของมารยาทเน็ต (1)
หมายเหตุ - ดัดแปลงจาก http://www.albion.com/netiquette/corerules.html คัดลอกจากหนังสือ มารยาทเน็ต (Netiquette) โดย เวอร์จิเนีย เชีย แปลและเรียบเรียงโดย สฤณี อาชวานันทกุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต (http://thainetizen.org) ในการเสวนากล้วยน้ำไทวิชาการ หัวข้อ "กติกาพลเมืองชาวเน็ต" จากแนวปฏิบัติสู่จารีตประเพณีจนถึงกฎหมายลายลักษณ์อักษร เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล้วยน้ำไท
มารยาทเน็ต (netiquette) คืออะไร? พูดง่ายๆ มารยาทในการสื่อสารแบบเครือข่าย หรือไซเบอร์สเปซ
คำว่า "มารยาท" หมายถึงกิริยาอาการที่พึงประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มารยาทเน็ตคือชุดวิธีประพฤติตนที่เหมาะสมเมื่อคุณใช้อินเตอร์เน็ต
เมื่อคุณต้องเจอกับวัฒนธรรมใหม่ๆ และโลก ไซเบอร์สเปซก็มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง จะต้องยอมรับว่าอาจทำผิดพลาดไปบ้าง เช่น อาจไปละเมิด ผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดแบบผิดๆ และต่อว่าคนพูดโดยไม่ได้เจตนา สิ่งที่แย่กว่านั้นอีกคือ ไซเบอร์สเปซมีลักษณะอะไรบางอย่างที่ทำให้เราลืมไปว่า เรากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ ไม่ใช่แค่รหัสตัวอักษร (ASCII) ที่ปรากฏบนจอ
ดังนั้น คนใช้อินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะผู้ใช้รายใหม่ที่มีเจตนาดี ก็อาจทำผิดพลาดได้หลายรูปแบบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับคนจริงๆ อีกส่วนเพราะไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติในโลกนี้
หัวข้อมารยาทเน็ตนี้มีจุดประสงค์ 2 ส่วน คือ เพื่อช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากผู้เล่นอินเตอร์เน็ตมือใหม่ให้เหลือน้อยที่สุด และช่วยให้ผู้ท่อง อินเตอร์เน็ตที่มีประสบการณ์ช่วยผู้เล่นมือใหม่ได้ สมมติฐานนี้คือ คนส่วนใหญ่น่าจะอยากหาเพื่อน ไม่อยากสร้างศัตรู และถ้าทำตามกฎพื้นฐานไม่กี่ข้อ จะมีโอกาสทำผิดแบบเสียเพื่อนน้อยลง
กฎและคำอธิบายต่อไปนี้คัดมาจากหนังสือ เพื่อนำเสนอชุดแนวทางทั่วไปสำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับมารยาทต่างๆ แต่จะให้หลักการพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้เมื่อเจอกับปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องมารยาทในการใช้อินเตอร์เน็ต
กฎข้อที่หนึ่ง อย่าลืมว่ากำลังติดต่อกับคนที่มีตัวตนจริงๆ
จงปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนที่คุณอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ เป็นบทท่องจำแสนง่าย ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องไม่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นด้วย
ในโลกไซเบอร์สเปซ กฎนี้เป็นมากกว่าธรรม เนียมทั่วไป เพราะเมื่อติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต สิ่งเดียวที่คุณเห็นคือจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีโอกาสแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงเพื่อสื่อความหมาย คุณทำได้แต่เขียนออกไปเท่านั้น
เมื่อคุณติดต่อกันทางออนไลน์ ไม่ว่าด้วยอี-เมล หรือโต้ตอบผ่านกระทู้ คุณอาจจะเข้าใจความหมายของคนที่คุยด้วยผิดไป อาจลืมไปว่าเขาก็เป็นคนและมีความรู้สึกเหมือนกัน
เรื่องนี้อันที่จริงเป็นตลกร้าย เพราะเครือข่าย อินเตอร์เน็ตทำให้คนที่ไม่เคยพบเจอกันมารู้จักพูดคุยกันได้ แต่มันก็ห่างเหินเกินกว่าที่จะเหมือนกับเวลาพูดคุยกับคนจริงๆ คนที่คุยกันทางอี-เมลเปรียบเสมือนคนขับรถ ที่มักจะด่าทอต่อว่าคนขับรถคันอื่นๆ ทำท่าทางลามกหยาบโลนใส่กัน และทำตัวป่าเถื่อนโดยรวม คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ทำตัวแบบนั้นเวลาอยู่ที่ทำงานหรือบ้าน แต่ดูเหมือนว่าการมีเครื่องจักรกลอะไรสักอย่างมาคั่นกลางทำให้พวกเขายอมรับพฤติกรรมเหล่านั้นได้
สิ่งที่มารยาทเน็ตบอกเราก็คือ จริงๆ แล้วพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
จริงอยู่เราใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อสื่อความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างอิสระ ออกสำรวจโลกใหม่ๆ และไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน แต่อย่าลืมกฎข้อสำคัญ นั่นคือ คนที่เจอในอินเตอร์เน็ตนั้น ก็เป็นคนจริงๆ เหมือนกับคุณนั่นแหละ
เราจะพูดอย่างนั้นตรงๆ ต่อหน้าเขาหรือเปล่า?
กาย คาวาซากิ นักเขียนและนักรณรงค์เครื่องแมคอินทอช เล่าเรื่องที่เขาได้รับอี-เมลจากคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอ เนื้อความต่อว่ากายว่า เขาเป็นนักเขียนที่ห่วยแตก ไม่มีอะไรน่าสนใจจะสื่อ
อี-เมลนั้นหยาบคาย แต่โชคร้ายที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาบนโลกอินเตอร์เน็ต
มันอาจเป็นเพราะคุณรู้สึกว่ามีอำนาจพิเศษ ที่สามารถส่งอี-เมลโดยตรงไปหานักเขียนที่มีชื่อเสียงได้ และอาจจะจริงที่คุณไม่ต้องเห็นเขาทำหน้ายับย่นด้วยความหดหู่ตอนที่อ่านอี-เมลของคุณ แต่ไม่ว่า เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรก็ตาม เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ
กายเสนอบททดสอบชุดหนึ่งให้ลองทำ ก่อนจะส่งอี-เมลหรือโพสท์ข้อความบนอินเตอร์เน็ตให้ตัวเองว่า ถ้าเจอกันต่อหน้าคุณจะพูดแบบนี้กับเขาหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ ก็จงแก้ข้อความนั้นแล้วอ่านใหม่อีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนคุณรู้สึกว่าไม่ลำบากใจที่จะพูดแบบนี้กับใครแล้ว จึงค่อยส่ง
แต่ถ้าคุณเป็นพวกที่ชอบพูดอะไรหยาบคายรุนแรงต่อหน้าคนอื่นเพื่อความสะใจ ก็คงต้องไปอ่านหนังสือประเภทสมบัติผู้ดี เพราะมารยาทเน็ตช่วยอะไรคุณไม่ได้
เวลาที่คุณติดต่อสื่อสารผ่านอี-เมลหรือโพสท์กระทู้ คุณต้องพิมพ์สิ่งที่ต้องการสื่อลงไป และมันมีโอกาสที่คนจะบันทึกสิ่งที่คุณเคยเขียนเอาไว้ โดยที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ พูดอีกอย่างคือ สิ่งที่คุณเขียนนั้นมีโอกาสกลับมาหลอกหลอนคุณได้ในอนาคต ดังนั้น พยายามอย่าก้าวร้าว
ถึงคุณจะไม่อยากก่ออาชญากรรม ก็ควรอยากระมัดระวังตัว ข้อความอะไรที่ส่งอาจถูกเก็บไว้หรือส่งต่อได้ เแล้วก็ไม่อาจควบคุมได้อีกว่ามันจะไปไหนต่อ
กฎข้อที่สอง การสื่อสารออนไลน์ให้ยึดมาตรฐานความประพฤติเดียวกับการสื่อสารในชีวิตจริง
คนส่วนใหญ่มักจะเคารพกฎหมาย ไม่ว่าจะด้วยนิสัยหรือเพราะกลัวโดนจับก็ตาม แต่ในโลกเน็ต โอกาสถูกจับมีน้อย และบางทีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมักลืมว่าอีกฝ่ายที่กำลังคุยด้วยเป็นคนที่มีตัวตนจริงๆ จึงปฏิบัติต่อกันโดยมีมาตรฐานทางศีลธรรมต่ำกว่าในโลกจริง
ถ้าเรื่องนี้เกิดจากความสับสนก็ยังพอเข้าใจได้ แต่คนพวกนี้ก็เข้าใจผิดอยู่ดี มาตรฐานของพฤติกรรมบนโลกอินเตอร์เน็ตอาจแตกต่างจากโลกความจริงในบางเรื่อง แต่มันไม่ได้ต่ำกว่าแน่นอน เรื่องนี้ เกี่ยวกับมารยาท ไม่ใช่ศีลธรรม จงปฏิบัติตามแบบแผนที่ยึดถือในชีวิตจริง
การแหกกฎเป็นมารยาทที่แย่
ถ้าคุณอยากจะทำอะไรผิดกฎหมายในไซเบอร์สเปซ สิ่งที่คุณกำลังจะทำนั้นก็น่าจะผิดมารยาทด้วย
จริงอยู่ที่กฎหมายบางข้อคลุมเครือซับซ้อน ยากที่จะปฏิบัติตามได้ และในบางกรณีเราก็ยังถกกันไม่ตกว่าจะนำกฎหมายไปประยุกต์ใช้ในโลกไซเบอร์สเปซได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และกฎหมายลิขสิทธิ์
นี่เป็นคู่มือมารยาท ไม่ใช่คู่มือกฎหมาย แต่มารยาทเน็ตก็เรียกร้องให้คนปฏิบัติต่อกันและกันอย่างดีที่สุดภายใต้กฎหมายของสังคมและไซเบอร์สเปซ
หน้า 26 http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01180552§ionid=0147&day=2009-05-18
วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11392 มติชนรายวัน
กฎหลักของ "มารยาทเน็ต" (2)
หมายเหตุ : ดัดแปลงจาก http://www.albion.com/netiquette/corerules.html คัดลอกมาจากหนังสือ มารยาทเน็ต (Netiquette) โดย เวอร์จิเนีย เชีย แปลและเรียบเรียง โดย สฤณี อาชวานันทกุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต (http://thainetizen.org) ในการเสวนากล้วยน้ำไทวิชาการ หัวข้อ "กติกาพลเมืองชาวเน็ต" จากแนวปฏิบัติสู่จารีตประเพณีจนถึงกฎหมายลายลักษณ์อักษร เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล้วยน้ำไท
กฎข้อที่สาม รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนในไซเบอร์สเปซ
มารยาทเน็ตในแต่ละ "พื้นที่" ไม่เหมือนกัน
การกระทำอะไรก็ตามอาจเป็นเรื่องยอมรับได้ในที่หนึ่ง แต่ถ้าเป็นที่อื่นอาจจะไม่ใช่ เช่น คุณอาจซุบซิบนินทาไร้สาระได้เวลาโพสต์กระทู้เกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ แต่ถ้าเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลในเมลลิสต์ของนักข่าว คุณก็จะเป็นคนที่ไม่มีใครชอบหน้าเอามากๆ
เนื่องจากมารยาทเน็ตในแต่ละที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นที่จะรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ดังนั้นกฎที่ตามมาคือ .... ซุ่มก่อนร่วมวง
เมื่อคุณเข้าไปในพื้นที่ใดๆ ที่นั่นถือเป็นที่ใหม่สำหรับคุณ ดังนั้น ลองใช้เวลาสักพักสังเกตการณ์ก่อนว่า ที่นั่นเขาคุยอะไรกัน ปฏิบัติต่อกันอย่างไร หรือเข้าไปอ่านข้อความเก่าๆ จากนั้นค่อยเข้าไปมีส่วนร่วมกับเขา
กฎข้อที่สี่ เคารพเวลาและการใช้แบนด์วิธ
คนปัจจุบันดูเหมือนจะมีเวลาน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมามากนัก แม้ว่า (หรืออาจจะเพราะ) เรานอนน้อยลง และยังมีเครื่องมือทุ่นแรงมากขึ้นกว่าคนรุ่นปู่รุ่นพ่อเคยมี เมื่อคุณส่งอี-เมล โพสต์ข้อความลงอินเตอร์เน็ต รู้ไว้ว่าคุณกำลังทำให้คนอื่นเสียเวลามาอ่าน ดังนั้นเป็นความรับผิดชอบที่คุณควรแน่ใจก่อนส่ง ว่าข้อความหรืออี-เมลนั้นไม่ทำให้ผู้รับเสียเวลา
คำว่า "แบนด์วิธ" (bandwidth) บางครั้งมีความหมายพ้องกับเวลา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคนละเรื่องกัน แบนด์วิธคือความจุของข้อมูลของสายไฟและช่องทางที่เชื่อมต่อทุกคนในโลกไซเบอร์สเปซ
ข้อมูลที่สายไฟรับได้นั้น มีปริมาณจำกัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ แม้ว่าจะส่งผ่านสายไฟเบอร์ออฟติกที่ไฮเทคที่สุดก็ตาม คำว่า "แบนด์วิธ" บางครั้งก็หมายถึงความจุของระบบโฮสต์ เมื่อคุณโพสต์ข้อความเดียวกันในกลุ่มข่าวเดียวกัน 5 ครั้ง คุณกำลังทำให้เสียเวลา (ของคนที่เข้าไปเปิดอ่านทั้ง 5 ข้อความ) และเปลืองแบนด์วิธ (เพราะข้อมูลที่ซ้ำกันทั้งหมดนั้นต้องเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง)
คุณไม่ได้เป็นศูนย์กลางของไซเบอร์สเปซ
บางทีคำเตือนข้อนี้อาจจะดูไม่จำเป็นสำหรับผู้อ่านส่วนใหญ่ แต่ฉันยังคิดว่าควรต้องพูดถึง เพราะยิ่งเมื่อคุณกำลังทำรายงานหรือโปรเจ็คต์และกำลังคลุกคลีตีโมงกับมันอย่างหนัก คุณอาจจะลืมคิดไปว่า คนอื่นมีเรื่องอื่นที่ต้องทำนอกเรื่องของคุณ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าคำถามทุกคำถามของคุณจะได้รับคำตอบในทันทีทันใด และอย่าทึกทักเอาเองว่าผู้อ่านทุกคนจะต้องเห็นด้วย หรือสนใจข้อโต้แย้งที่กระตือรือร้นของคุณ
กฎสำหรับกระดานสนทนา (discussion group)
กฎข้อสี่นี้มีนัยสำหรับผู้ใช้กระดานสนทนาหรือ discussion group ผู้ที่เข้ามาอ่านกระดานแบบนี้ส่วนใหญ่นั่งแช่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไปอยู่แล้ว นานจนครอบครัวเพื่อนฝูงต้องนั่งเคาะนิ้วรอว่าเมื่อไหร่ถึงจะมากินข้าวสักที ในขณะที่ผู้ใช้เหล่านี้กำลังติดตามวิธีใหม่ล่าสุดในการฝึกลูกสุนัขสูตรทำหมูย่างจิ้มแจ่วในกระดานบนอินเตอร์เน็ต
นอกจากนั้น โปรแกรมรายการข่าวหลายโปรแกรมก็ทำงานได้ช้ามาก และผู้อ่านยังต้องตะลุยอ่านหัวข้อทั้งหมด กว่าที่จะไปถึงเนื้อความจริงๆ ไม่มีใครชอบหรอกถ้าต้องเสียเวลาทำทั้งหมดนั้นแล้วพบว่า มันไม่เห็นจะคุ้มค่าเวลาที่เสียไปเลย
ควรส่งอี-เมลหรือข้อความไปให้ใครบ้าง?
ในอดีต คนคัดลอกเอกสารโดยใช้กระดาษคาร์บอน ซึ่งอย่างมากก็ทำสำเนาได้แค่ 5 ครั้ง ดังนั้นเมื่อคุณจะส่งสำเนา 5 ครั้ง คุณจึงต้องคิดอย่างหนัก แต่ปัจจุบันการคัดลอกข้อความและส่งต่อให้คนอื่น (CC ในอี-เมล) นั้นทำได้ง่ายดาย บางครั้งเราลอกอี-เมลส่งต่อกันจนเป็นนิสัย โดยทั่วไป นี่ถือเป็นเรื่องไร้มารยาท
วันนี้คนมีเวลาน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะพวกเขามีข้อมูลต้องรับรู้มากมาย ดังนั้นก่อนจะส่งเมลต่อไปให้ใคร ลองถามตัวเองดูก่อนว่าเขาจำเป็นจะต้องรู้เรื่องในอี-เมลนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ ก็อย่าส่ง ถ้าอาจจะอยากรู้ ก็ทบทวนทีก่อนส่ง
หน้า 26 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น